วันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 07.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ผ่านเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า ว่า เรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการช่วยเหลือประชาชน อย่างแรกต้องขอย้ำอีกครั้งให้ชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้ถังแตก ข้อมูลที่มีการรายงานในสื่อและเป็นรายงานความเสี่ยงที่กระทรวงการคลังทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีทุกปีอยู่แล้วเป็นประจำ ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการหารือกันว่าเรามีผู้อยู่ในระบบภาษีน้อย เราจึงต้องไปสร้างความเข้าใจให้ประชาชนว่า เมื่อเข้าระบบภาษีแล้วจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ยืนยันว่ายังไม่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต ใดๆ ทั้งสิ้น อย่านำเสนอข่าวหรือหลงเชื่อข่าวที่บิดเบือน นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า เรามีเป้าหมายเพิ่มจีดีพีของไทยขึ้นเป็น 4% เรื่องนี้จะต้องอาศัยการส่งออก 8% การลงทุนภาครัฐ 12% รวมถึงการบริโภคของประชาชนด้วย
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการโครงการต่างๆ ทั้งคนละครึ่ง เราชนะ เรารักกัน เราเที่ยวด้วยกัน ก็ช่วยให้มีการบริโภคมากขึ้น ตอนนี้อยู่ระหว่าง กระทรวงการคลังพิจารณาโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ก็ขอย้ำว่า โครงการเหล่านี้เป็นโครงการกระตุ้นให้มีการหมุนเวียนเงินในระบบ ไม่ใช่เป็นการแจกเงินทิ้งไปเปล่าๆ และเราต้องมาคิดมาตรการเพิ่มเติมครอบคลุมไปถึงคนที่มีเงินฝากจำนวนมากให้ช่วยกันออกมาจับจ่ายใช้สอยด้วย สำหรับตัวเลขอัพเดทโครงการคนละครึ่งวันที่ 31 มี.ค.มีผู้ใช้สิทธิ 14.7 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 102,065 ล้านบาท เราชนะมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 32.5 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 183,725 ล้านบาท ส่วนโครงการ ม33 เรารักกัน ถึงวันที่ 30 มี.ค.ประมาณหนึ่งสัปดาห์มีผู้ประกันตนใช้จ่ายแล้ว 6.2 ล้านคน ยอดการใช้จ่ายสะสม 8,102 ล้านบาท
“ช่วงปีนี้และปีหน้าเราถือว่าเป็นช่วงรอยต่อและการปรับตัวทางเศรษฐกิจ เพราะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เราได้ลงทุนเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่องกว่า 160 โครงการ มูลค่าถึง 1.7 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะเป็นการกู้เงินมาดำเนินการบ้าง แต่นับต่อจากนี้ไปก็จะเริ่มออกดอกออกผลให้เห็น โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ การสร้างถนนหนทาง การลงทุนเคเบิลใต้น้ำ การลงทุนโครงการต่างๆ เหล่านี้ จะนำรายได้กลับมาสู่รัฐบาลในอนาคต”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน จากเดิมประเทศไทยมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่จากนี้จะต้องเปลี่ยนไปเป็นอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ภายใน 10-15 ปีข้างหน้า รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรืออีวี ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการสร้างรถยนต์อีวีในภูมิภาค นอกจากนี้ จะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เพราะไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการดูแลคนไข้และผลิตยา เราต้องคิดถึงเรื่องการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ นักท่องเที่ยวผู้สูงอายุที่มีกำลังจ่ายสูง ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ให้ประเทศไทยมีบิ๊กดาต้าเพื่อรองรับระบบเอไอ หรือ 5จี ที่จะนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และเราจะได้ปรับแก้กฎหมาย แก้กฎกติกา เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน