คลังปลื้ม "คนละครึ่ง" ปิดฉากโครงการ ผู้ร่วมใช้สิทธิ 14.79 ล้านคน ยอดใช้จ่ายกว่า 1 แสนล้านบาท พบทุจริตโครงการ 749 ราย ร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว 85 ราย รมว.คลัง ยันความจำเป็นรัฐบาลกู้เงินมาใช้พัฒนาประเทศ แต่ยังยึดกรอบวินัยการคลัง
วานนี้ (1 เม.ย.) น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือประมาณร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน
ทั้งนี้ จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 6 เดือนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการบริโภคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการหมุนเวียนของการผลิตและการค้าที่เกี่ยวเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ตรวจพบการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง และได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและการจ่ายเงินร้านค้า รวมทั้งจัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้วทั้งสิ้น 749 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย
สำหรับส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี แม้จะจำเป็นต้องมีการกู้เงินเพื่อนำมาใช้สำหรับชดเชยการขาดดุลงบประมาณก็ตาม พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้ถังแตกแน่นอน นอกจากนี้ มองว่าในอนาคตรัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการกู้เพื่อนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เป็นการกู้มาเพื่อพัฒนาประเทศ
"เมื่อรายได้ที่รัฐจัดเก็บ ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้งบประมาณขาดดุล ดังนั้นต้องปิดหีบงบประมาณด้วยการกู้เงินเข้ามาใส่ รวมไปถึงการพัฒนาด้านต่างๆ แต่ยังอยู่ในวินัยการเงินการคลัง ไม่ได้เอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เอามาพัฒนา เมื่อลงทุนแล้วเปิดให้บริการ ก็มีรายได้กลับมา" รมว.คลัง กล่าว
รมว.คลัง กล่าวย้ำถึงการออกโครงการ "คนละครึ่ง" เฟส 3 ว่า คงต้องขอพักไปก่อนสักระยะ โดยขอประเมินภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจต่างๆ ก่อน รวมถึงการปรับปรุงรายละเอียดโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับผู้ที่ทุจริตในโครงการดังกล่าวด้วย
วานนี้ (1 เม.ย.) น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือประมาณร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน
ทั้งนี้ จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 6 เดือนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการบริโภคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการหมุนเวียนของการผลิตและการค้าที่เกี่ยวเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ตรวจพบการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง และได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและการจ่ายเงินร้านค้า รวมทั้งจัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้วทั้งสิ้น 749 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย
สำหรับส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี แม้จะจำเป็นต้องมีการกู้เงินเพื่อนำมาใช้สำหรับชดเชยการขาดดุลงบประมาณก็ตาม พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้ถังแตกแน่นอน นอกจากนี้ มองว่าในอนาคตรัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการกู้เพื่อนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เป็นการกู้มาเพื่อพัฒนาประเทศ
"เมื่อรายได้ที่รัฐจัดเก็บ ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้งบประมาณขาดดุล ดังนั้นต้องปิดหีบงบประมาณด้วยการกู้เงินเข้ามาใส่ รวมไปถึงการพัฒนาด้านต่างๆ แต่ยังอยู่ในวินัยการเงินการคลัง ไม่ได้เอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เอามาพัฒนา เมื่อลงทุนแล้วเปิดให้บริการ ก็มีรายได้กลับมา" รมว.คลัง กล่าว
รมว.คลัง กล่าวย้ำถึงการออกโครงการ "คนละครึ่ง" เฟส 3 ว่า คงต้องขอพักไปก่อนสักระยะ โดยขอประเมินภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจต่างๆ ก่อน รวมถึงการปรับปรุงรายละเอียดโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับผู้ที่ทุจริตในโครงการดังกล่าวด้วย