นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี แม้จะจำเป็นต้องมีการกู้เงินเพื่อนำมาใช้สำหรับชดเชยการขาดดุลงบประมาณก็ตาม พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้ถังแตกแน่นอน
"เมื่อรายได้ที่รัฐจัดเก็บไม่พอกับรายจ่าย ทำให้งบประมาณขาดดุล ดังนั้น ต้องปิดหีบงบประมาณด้วยการกู้เงินเข้ามาใส่ ก็เป็นการกู้จากหลายแหล่ง แต่ยังอยู่ในวินัยการเงินการคลัง" รมว.คลัง กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าในอนาคตรัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการกู้เพื่อนำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เป็นการกู้มาเพื่อพัฒนาประเทศ
"อนาคตถ้าอยากเห็นความสะดวกสบาย และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิต รัฐก็ยังมีหน้าที่ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทุกวันนี้จะเห็นว่าการเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ดังนั้นอาจจะเป็นต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นบ้างเพื่อการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่า การกู้เงินของเรา ไม่ได้เอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เอามาพัฒนา เมื่อลงทุนแล้วเปิดให้บริการ ก็มีรายได้กลับมา" รมว.คลังระบุ
นายอาคม กล่าวด้วยว่า ในปี 63-64 ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน รัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องดำเนินนโยบายในลักษณะเดียวกัน 2 ด้าน ด้านแรก คือการใช้นโยบายการคลัง ในการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ขณะที่ด้านนโยบายการเงิน ก็ยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อยังรักษาระดับการใช้จ่ายและการลงทุนของประเทศไว้
"ดังนั้น การใช้นโยบายการเงินกับนโยบายการคลังต้องสอดประสานกัน เพราะถ้ารัฐบาลใช้จ่ายเงินมากเพื่อไปช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตนี้ นโยบายการเงินก็ควรจะต้องผ่อนปรนให้" รมว.คลัง กล่าว
รมว.คลัง กล่าวย้ำถึงการออกโครงการ "คนละครึ่ง" เฟส 3 ว่า คงต้องขอพักไปก่อนสักระยะ โดยขอประเมินภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจต่างๆ ก่อน รวมถึงการปรับปรุงรายละเอียดโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับผู้ที่ทุจริตในโครงการดังกล่าวด้วย