“ผมไม่กลัวคุณ”! “หมอวรงค์” โชว์หมายศาล ถูก “ทอน” ฟ้องหมิ่นประมาท กล่าวหาล้มเจ้า “แก้วสรร” ชี้ ฝืน “ชูธงจัดการเจ้า” สวมตอปฏิวัติ 2475 ปัญญาชนครอบงำ 3 นิ้ว ทำพัง “อัษฎางค์” ตอก “ปิยบุตร” รณรงค์เลิก ส.ว.วันสถาปนาราชวงศ์จักรี เพื่อ?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 มี.ค. 64) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“#ได้รับหมายศาลอีกแล้ว
วันนี้ผมได้รับหมายศาลอีกแล้วครับ แต่ครั้งนี้ คนฟ้องผมชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เขาฟ้องผม เพราะหาว่าผมไปใส่ความเขา มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบัน ทำให้เขาเสื่อมเสีย
เขาฟ้องผมหมิ่นประมาทเหมือนพรรคก้าวไกล เรียกค่าเสียหายตัวเลขเดียวกัน คือ 24,062,475 บาท (คุณก็วกวนกับตัวเลข 24 มิถุนายน 2475 อยู่นั่นแหละ) ที่สำคัญคือ ใช้ทนายผู้เรียง พิมพ์ คนเดียวกับพรรคก้าวไกลฟ้องผมด้วย
อยากจะถามนายธนาธร ดังๆ ว่า คุณไม่รู้ตัวจริงๆ หรือว่า คุณคิดอย่างไรกับสถาบัน คดีนี้น่าจะสนุกนะ สืบไปสืบมาไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะหนาวๆ ร้อนๆ
#ผมไม่กลัวคุณ”
ขณะเดียวกัน นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “ความล้มเหลวทางความคิด ของปัญญาชนสามนิ้ว” เนื้อหาระบุว่า
ถาม ทำไมพวกม็อบสามนิ้ว ถึงฝืนชู “ธงจัดการเจ้า” ให้ได้ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นธง “ไล่ประยุทธ์แก้รัฐธรรมนูญ” จะเรียกมวลชนได้แรงกว่านี้มาก
ตอบ ปัญญาชนที่ครอบงำม็อบ เขาต้องการยืนยันภารกิจในทางประวัติศาสตร์ว่าสังคมไทยดักดาน ก็เพราะการสมสู่ของศักดินาและขุนศึก เราคนไทยต้องต่อการต่อสู้ในปัจจุบันเข้ากับคณะราษฎร เมื่อปี 2475 ให้ได้ อนาคตใหม่จึงจะมาถึง
ถาม จะไปหลงขับไล่ที่ตัวบุคคล เช่น 3 ป.ไม่ได้
ตอบ ครับ..นั่นไม่ใช่การปฏิวัติ เรามีประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่รอการสืบสานอยู่ มันต้องจบที่รุ่นเราให้ได้
นี่..เขาเล่นเป็นกงล้อประวัติศาสตร์เลยนะคุณ
ถาม ชูธงอย่างนี้ ก็หวังว่าจะทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ ฮึกเหิมขึ้นมาได้
ตอบ คอมมิวนิสต์เขาก็มีกงล้อประวัติศาสตร์กลมดิก มาอธิบายชนชั้นเหมือนกันนะครับ แต่ของปัญญาชนสามนิ้วเขาเอา 2475 มาสวมตอเท่านั้น ได้ซ่องสุมสร้างทฤษฎีกันมานาน ยิ่งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็มีงานเขียน บูมขึ้นมามาก ว่า ศักดินากับขุนศึกเริ่มสมสู่กันมา ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์แล้ว
ถาม แต่มันก็ชัดในวันนี้แล้วว่า “ธงจัดการเจ้า” และ “ทฤษฎีสวมตอคณะราษฎร” นี้ มันใช้นำการปฏิวัติไม่ได้ น่าสงสารเยาวชนที่ถูก พวกอาจารย์ยัดธงใส่มือ เข้าไปโบกในคุก ต้องคดีกันเป็นแถว
ตอบ ล่าสุดนี้ ก็มีการฟ้องร้องปัญญาชนสามนิ้วชื่อ ณัฐพล ใจจริง แล้วว่า ประพฤติเลวทางวิชาการ ปั้นแต่งข้อมูลเท็จเป็นวิทยานิพนธ์ใส่ร้าย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เสด็จลุงของในหลวงภูมิพล ว่า เป็นตัวการเริ่มใช้สถาบันสนับสนุนสมคบคิดทางการเมืองกับทหาร เมื่อครั้งเป็นผู้สำเร็จราชการ
ถาม มันสามานย์ตรงไหน
ตอบ อาจารย์สามนิ้วคนนี้ เขาเขียนในวิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์จุฬาฯ ปี 2552 อ้างว่า เสด็จในกรมฯ ท่านรีบสนับสนุนรับรองการรัฐประหารขณะนั้นอย่างแข็งขัน โดยอ้างอิงบางกอกโพสต์ไว้ในวิทยานิพนธ์ แต่ปรากฏว่า เมื่อตรวจสอบแล้ว ตัวสิ่งพิมพ์ที่อ้างไม่ระบุอย่างนั้นเลย
ครั้นอ้างต่อไปอีกว่า มีรายงานสถานทูตสหรัฐฯรายงานว่า เสด็จในกรมฯ ท่านจะเข้าร่วมประชุม ครม.ด้วย จน จอมพล ป.ไม่พอใจ แต่ตรวจเข้าจริงๆ ก็ไม่มีรายงานเช่นนั้นเลยเช่นกัน
ถาม ยังงี้ก็เรียกว่า เป็นการปั้นแต่งเท็จกันดื้อๆ จะเขียนให้ใครเลวอย่างไรก็ได้ แล้วอ้างอิงซ้ำลงไป ใครเขาจะไปรู้ว่าอ้างเท็จ ก็เลยเชื่อกันหมด
ตอบ วิทยานิพนธ์เท็จฉบับนี้ ในที่สุด ทางจุฬาฯ ก็สั่งห้ามเผยแพร่แล้ว แต่พวกนี้ยังเอาความเท็จนี้ไปเผยแพร่กันไม่หยุดในหนังสือฉบับอื่น ทายาทเสด็จในกรมฯ เขาถึงฟ้องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน
ก็สมควรแล้ว ไปใส่ความท่านอย่างนั้น มันไม่รู้จักบุญคุณคนเลย
ถาม เสด็จในกรมฯ ท่านนี้เป็นใคร
ตอบ ในรัชสมัยรัชกาลที 6 นั้น พระน้องยาเธอท่านนี้ เป็นผู้วางรากฐานการสาธารณสุขไทยสมัยใหม่ ร่วมกับสมเด็จพระราชบิดา กรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านปักหลักพัฒนาราชการกรมสาธารณสุข ส่วน สมเด็จพระราชบิดาอยู่ศิริราช
ทั้งสองท่านช่วยสร้างพื้นฐานทั้งการแพทย์และการสาธารณสุขไทย จนตั้งมั่นสืบสานให้ไทยสู้โควิดได้จนทุกวันนี้ เรื่องวัคซีนนี่ เสด็จในกรมฯ ท่านก็วางรากฐานไว้เช่นกัน ทำให้โรคระบาดร้ายแรงเริ่มหายไปจากบ้านเมืองได้ เกือบหมด
นี่คือบรรพบุรุษคนทำงานให้บ้านเมือง ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนในหลวงภูมิพลที่ยังทรงพระเยาว์ ก็เพราะเป็นพระญาติอาวุโสเท่านั้น จะมามีบทบาทสมสู่จุ้นจ้านกับกองทัพได้อย่างไร
ถาม สรุปแล้ว ปัญญาชนประวัติศาสตร์ค่ายสามนิ้ว ทำบรรพบุรุษวุ่นวายไปหมด
ตอบ คณะราษฎร ที่เป็นคนทำงานมีบุญคุณกับบ้านเมืองก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ แต่พอถูกเขาสวมตอ ก็เลยพลอยถูกด่าตามม็อบสามนิ้วไปด้วย
ในที่สุดบรรพบุรุษเรา ก็หาคนดีน่าเชื่อถือไม่ได้เลยไม่ว่าข้างไหน ลูกหลานมันจัญไรจริงๆ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณี ที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ได้จี้ให้แก้ ม.279 - ยกเลิก ส.ว.โดยดีเดย์เอาวันที่ 6 เมษายนนี้ เปิดลงรายชื่อยกเลิก ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งนั้น
เรื่องนี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสาระสำคัญที่น่าหยิบยกมากล่าวในที่นี้ ระบุว่า
“ทำไมป๊อกและพวกต้องรณรงค์ให้ยกเลิก ส.ว.ในวันสถาปนาราชวงศ์จักรี ?
ปิยบุตรและคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล มักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยการอ้างประชาธิปไตย ที่มีการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เสมอ การรณรงค์ให้ยกเลิก ส.ว. จะทำวันไหนก็ได้ แต่ปิยบุตรและคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล เจาะจงเลือกวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันก่อตั้งราชวงศ์จักรี เพราะ...ปิยบุตรและคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล มักพูดอะไรเพียงครึ่งเดียวเสมอ
ความจริงครึ่งเดียวที่ปิยบุตรและคณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกลพูดคือ ล้ม ส.ว. ส่วนความจริงอีกครึ่งที่ไม่พูดออกมาคือ ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ใช่หรือไม่ อะไรคือสิ่งที่บ่งบอกว่า เขาและพวกมีความจริงอีกครึ่ง ที่ไม่ยอมพูด
ความจริงอีกครึ่งที่เหลือ คือ การใช้วันก่อตั้งราชวงศ์จักรีเป็นสัญลักษณ์ ให้การล้ม ส.ว. เป็นเป้าหมายหลอก โดยมีความจริงอีกครึ่งที่ไม่ยอมพูด คือเพื่อล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ใช่หรือไม่ พูดออกมาตรงๆ ถ้าไม่ใช่ ทำไมต้อง 6 เมษา....
ที่น่าสนใจ นายอัษฎางค์ อธิบายเกี่ยวกับ วุฒิสภามีความสำคัญและจำเป็นต่อระบบการปกครองประชาธิปไตยอย่างไร ?
โดยเฉพาะถ้านับจาก ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2475 ก็ได้กําหนดให้รัฐสภาเป็นระบบสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก สองประเภท
โดยแต่ละประเภทมีจํานวนเท่ากัน
- สมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง
- สมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง
จะสังเกตได้ว่า ถึงจะเรียกว่า มีสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียว แต่ความจริงก็มีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งรวมอยู่ด้วย เพียงแต่ยังไม่เรียกว่า วุฒิสภาเท่านั้น และสาเหตุที่ต้องมีสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้งและมาจากการเลือกตั้งนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร ความตอนหนึ่ง ว่า
“…ที่เราจําต้องมีสมาชิกประเภทที่ 2 ไว้กึ่งหนึ่งก็เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้แทนราษฎร ในฐานะที่เพิ่งเริ่มมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ เราย่อมทราบอยู่แล้วว่า ยังมีราษฎรอีกเป็นจํานวน มากที่ยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอ ที่จะจัดการปกครองป้องกันผลประโยชน์ของตนเองได้ บริบูรณ์ ถ้าขืนปล่อยมือให้ราษฎรเลือกผู้แทนโดยลําพังเอง ในเวลานี้แล้ว ผลร้ายก็จะตกอยู่แก่ ราษฎร เพราะผู้ที่จะสมัครไปเป็นผู้แทนราษฎร อาจเป็นผู้ที่มีกําลัง ในทางทรัพย์ ฉะนั้น จึงวางเงื่อนไขไว้ขอให้เข้าใจว่าสมาชิกประเภทที่ 2 เป็นเสมือนพี่เลี้ยงที่จะช่วยประคองการงานให้ดําเนินไปสมตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ และ เป็นผู้ป้องกันผลประโยชน์อันแท้จริง...”
จากวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ดังกล่าวนี้เอง จึงถือได้ว่า “วุฒิสภา” หรือสภาที่ทําหน้าที่กลั่นกรองงานของสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมือง
โดยรัฐสภาได้เปลี่ยนเป็น “ระบบสภาคู่” หรือ “ระบบสองสภา” คือ สภาผู้แทนราษฎร และพฤฒสภา (วุฒิสภา) ซึ่งพฤฒสภามีขึ้นเพื่อทําหน้าที่เป็นสภายับยั้ง หรือสภากลั่นกรองงาน คอยเหนี่ยวรั้งมิให้สภาผู้แทนทํางานด้านนิติบัญญัติเร็วเกินไป จนขาดความรอบคอบ...(ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการปกครองระบบสองสภา ซึ่งอังกฤษเป็นแม่แบบที่ไม่ขอกล่าวในที่นี้)
ทั้งนี้ นายอัษฎางค์ สรุปไว้ว่า
สาเหตุที่ต้องมีวุฒิสภา เพราะสมาชิกวุฒิสภาประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาวิชาชีพต่างๆ ในขณะที่สมาชิกจากสภาผู้แทนราษฎร อาจเข้าสภามาได้ด้วยความเป็นผู้มีอิทธิพลในทางการเมืองหรือในท้องที่ รวมถึงการได้มาด้วยกลโกงการเลือกตั้งและการคอร์รัปชัน
ดังนั้น การที่เรามีวุฒิสภา ซึ่งเป็นสภาของผู้ทรงคุณวุฒิ จะสามารถช่วยสภากลั่นกรองงาน และคอยเหนี่ยวรั้งให้สภาผู้แทนราษฎรทำงานอย่างรอบคอบขึ้น แต่สิ่งที่ปิยบุตรและคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล พยายามจะล้มวุฒิสภา นั้นมีสาเหตุเดียว คือวุฒิสภาขวางทางเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของตนและพวก ที่มีเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปจากรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าวิเคราะห์อย่างยิ่ง ก็คือ ทำไมกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังและครอบงำม็อบ 3 นิ้ว จึงมักอ้างการสานต่อภารกิจปฏิวัติ 2475 หรือที่ อ.แก้วสรร เรียกว่า “สวมตอ” และมักใช้ 2475 ในเชิงสัญลักษณ์เคลื่อนไหวการเมือง อย่างที่ คณะก้าวหน้า ซึ่ง มีนายธนาธร เป็นประธาน มีนายปิยบุตร เป็นเลขาธิการ ใช้มาตลอด
เรื่องนี้อาจอธิบายได้ด้วยข้อมูลจากวิกิพีเดีย ที่สรุปให้เห็นว่า
“การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกัน เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” โดยเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าว ทำให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก”
เห็นหรือยังว่า กลุ่มคนที่ต้องการสานต่อ หรือ “สวมตอ” ประวัติศาสตร์ การปฏิวัติ 2475 ความหมายมันลึกซึ้งไม่ธรรมดา ที่ม็อบ 3 นิ้ว ขึ้นป้ายว่า “เราต้องการปฏิวัติ ไม่ใช่ต้องการปฏิรูป” ก็ความหมายเดียวกัน เพียงแต่ที่อ้าง “ปฏิรูปสถาบัน” นั้น แท้จริงแล้วการปฏิวัติมันถึงขั้นไหน ที่พวกเขาพูดไม่หมด เท่านั้นเอง