ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “จุฬาฯ-สวนสุนันทา” ปล่อยไว้อย่างนี้หรือ? หลัง “ณัฐพล ใจจริง” ถูกฟ้องบิดเบือนวิทยานิพนธ์ อ้างอิงหลักฐาน “ปลอม”
ขณะที่ม็อบ 3 นิ้ว ฟาดงวงฟาดงาเกิดเป็นจลาจลอีกครั้งเมื่อคืนก่อน แถมบางส่วนก่อเรื่องมิบังควรอีกครั้ง ด้วยการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ทำให้นึกถึงคำว่า “ผลไม้พิษ ย่อมมาจากต้นไม้พิษ”
พิษที่ว่าย่อมหมายถึง การยัดเยียดใส่ชุดความคิดสร้างความเกลียดชัง อาฆาตมาดร้าย ให้เยาวชนเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯ ของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ว่ากันว่า คนที่อยู่เบื้องหลังแนวความคิดเหล่านี้ และกระทำการอย่างเปิดเผยมาตลอดก็คือ “สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน” ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ได้ทุนสนับสนุนจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า นั่นเอง
ฟ้าเดียวกัน เป็นแหล่งแพร่ข้อมูลข่าวสารที่โจมตีสถาบันฯ โดยรวบรวมเอากลุ่มคนที่มีแนวคิดเหมือนกันเข้ามา ทั้งนักวิชาการ และอาจารย์ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ
ตอนนี้ที่กำลังเป็นกระแสสังคม ย่อมรวมถึง “ณัฐพล ใจจริง” นักวิชาการดางรุ่งของฝั่งล้มเจ้า ที่ถูก ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ในฐานะหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีกรณีแต่งหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี จากกรณีที่ “ณัฐพล” เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “การเมืองไทยสมัยรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)” และต่อมาได้จัดทำเป็นหนังสือชื่อ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” โดยฟ้าเดียวกัน มีข้อความบางตอน บิดเบือนทำให้ได้รับความเสียหาย ทำลายชื่อเสียงของต้นราชสกุลรังสิต
“ณัฐพล ใจจริง” ปัจจุบันเป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ขณะที่ ว่าด้วยวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาขณะกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก อยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก คือ “รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด” ถูก “ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร” อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดโปงว่า พบการ “อ้างอิงหลักฐานปลอม” ซึ่งต่อมาวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ถูกสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ดัดแปลงเนื้อหามาตีพิมพ์เป็นหนังสือ 2 เล่ม คือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ดังกล่าว
เรื่องนี้ ในแวดวงวิชาการถือว่าเป็น “Deepfake” ทั้งอ้างอิงปลอม และแต่งเรื่องขึ้นมาเอง เพราะหลักฐานอ้างอิงนั้นหายากมาก เพราะล้วนแล้วแต่เป็นเอกสารเก่าอายุ 60-70 ปี โดยทีมงาน “อ.ไชยยันต์” บอกว่า กว่าจะจับโป๊ะได้ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนัก ถ้าไม่มีเส้นสาย ไม่มีคนรู้จัก และไม่ได้ใช้คอนเนกชัน จ้างลูกศิษย์ที่ไปทำงานที่สหรัฐฯ ไปช่วยค้นเอกสารในหอจดหมายเหตุของสหรัฐฯ ถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็คงจะหาไม่เจอเหมือนกัน
กรณีของ “ณัฐพล” ที่ทั้งถูกฟ้องร้อง และตอนนี้ถูกขยายความว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่มีปัญหา หรือเรียกได้ว่า “ผิดแล้วผิดอีก” จนไม่รู้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ กับบัณฑิตวิทยาลัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปล่อยผ่านออกมาได้อย่างไร และจะแก้ไขในเรื่องนี้อย่างไร
สมควรยกเลิกวิทยานิพนธ์ หรือถอดถอนปริญญา หรือไม่ เพราะหากปล่อยไว้เชื่อได้ว่าจะมีการอ้างอิงกันผิดๆ ในวิทยานิพนธ์ และผลงานทางวิชาการอื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญ “ต้นไม้พิษ” ก็จะยิ่งมี “ผลไม้พิษ” ออกมาเรื่อยๆ
นี่ก็ต้องถามไปยังศาสตราจารย์บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนปัจจุบัน และถามไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ต้นสังกัด “ณัฐพล” ด้วยว่าจะปล่อยไว้อย่างนี้หรือ?
** ตำรวจตามถ่ายคลิป “หมิว สิริลภัส” ในห้องน้ำ งานนี้ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็จะช่วยกันแกล้งลืมๆ กันไปมั้ย?
กรณีดารานักแสดงสาว “หมิว” สิริลภัส กองตระการ เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อตำรวจที่ขับรถกระบะตราโล่ เข้าไปแอบถ่ายคลิปในห้องน้ำ เหตุเกิดท้องที่ สน.พหลโยธิน เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะขับรถหลบหนีไป แต่คดีไม่มีความคืบหน้า
ต่อมาทราบว่าเป็นตำรวจจริงสังกัด บช.น.โดย “พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” รอง ผบช.น.(จต.) ในฐานะโฆษก บช.น. ออกมายอมรับว่ารู้ตัวตำรวจผู้กระทำผิดดังกล่าวแล้ว พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ได้เรียกตัวมาสอบปากคำพร้อมนำโทรศัพท์ของกลางไปส่งตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ว่ามีการแอบถ่ายจริง หรือลบออกไปแล้วหรือไม่ ถ้าพยานหลักฐานปรากฏชัดเจนว่ามีการกระทำผิดจะถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัย และอาญา และถ้าศาลลงโทษถึงจำคุกก็ต้องถูกไล่ออก หรือปลดออกแน่นอน ต้องดูคำพิพากษาของศาลว่าออกมาอย่างไร
เบื้องต้นตำรวจนายดังกล่าวให้การปฏิเสธ แต่ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมและไปดูสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งว่าตรงตามคำให้การหรือไม่ โดยว่าห้องน้ำที่เกิดเหตุเป็นลักษณะชั่วคราว
ตำรวจถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คล้ายๆ จงใจช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะชาวโซเชียลฯ กดดันให้ตำรวจแสดงความรับผิดชอบ กระทั่ง “พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ เพ็ชรสดศิลป์” ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ จึงออกมาเผยอีกว่า ตำรวจนายดังมียศเป็น ส.ต.ท. เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัดจริง ปฏิบัติหน้าที่ ผบ.หมู่งานจราจร แต่ในวันเกิดเหตุมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการชุดควบคุมฝูงชนในพื้นที่ บก.น.2 จึงนำรถของทางราชการไปใช้ ซึ่งหลังทราบเรื่องได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับโรงพักแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน อีกทั้งยังมีคำสั่งให้ตำรวจนายดังกล่าว ไปปฏิบัติหน้าที่ ผบ.หมู่งานสอบสวน
เรื่องนี้จะว่าไป ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ตำรวจส่อยึกยักมาตั้งแต่แรก เวลาผ่านไปเกือบๆ สองสัปดาห์แทบไม่มีความคืบหน้า หากมิใช่ผู้เสียหายเป็นดาราสาวก็น่าเป็นห่วง ยิ่งเห็นกระบวนการทำงาน หลังจากชาวเน็ตช่วยกันไล่ทันแล้ว ก็ยังมีประเด็นให้คิดต่อ ทั้งการปฏิเสธของนายตำรวจคนทำ ทั้งการสอบสวนกันเอง รอเรื่องเงียบ แกล้งลืมๆ กันไป ก็ย้ายกันกลับมา ช่วยเหลือกัน ก็ฝากให้ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. คิด และทำความจริงให้ชาวบ้านรู้ เอาผิดคนทำให้จริงจังหน่อย อย่าปล่อยให้สังคมตราหน้าตำรวจเอาแต่ช่วยพวกเดียวกัน จนประชาชนหมดศรัทธากว่านี้เลย
** แม่ทัพภาค 3 “พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์” 1 ใน 3 บิ๊ก “อภิ” ของ ทบ. สยบดรามา “ฝากซื้อ” ทหารไทยส่งเสบียงให้เมียนมา
กลายเป็นประเด็นโจมตีกองทัพไทย หลังจากโซเชียลฯ เผยแพร่ภาพข้าวสาร 700 กระสอบ ที่ริมแม่น้ำสาละวิน ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เตรียมส่งให้ทหารพม่าในรัฐกะเหรี่ยงฝั่งตรงข้ามของไทย
ร้อนถึงแม่ทัพภาคที่ 3 “พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์” ออกโรงมาแจงว่า ไม่ใช่การส่งเสบียงสนับสนุน แต่เป็นการประสาน “ฝากซื้อ” ข้าวของ ข้าวสาร ของใช้ต่างๆ จากฝั่งไทย ผ่านคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (TBC : Township Border Committee) ซึ่งก็ทำมายาวนานเป็นสิบๆ ปี เนื่องจากซื้อที่ฝั่งเมียนมาจะขนส่งไกลกว่า แต่ซื้อฝั่งไทยสะดวกกว่า
นัยว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือกัน เวลาเรามีปัญหาเขาก็ช่วย และฝั่งไทยขายของได้ด้วย แม่ทัพภาคที่ 3 ยังว่า ที่ผ่านมาเวลาเรามีปัญหาอะไร คนไทยไปเกิดเรื่องในฝั่งเมียนมาก็จะประสานผ่าน “คณะกรรมการ TBC” ในการช่วยเหลือดูแล และการส่งคนไทยในเมียนมากลับประเทศ เมื่อเกิดปัญหา ฝ่ายทหารเมียนมาเขาก็ฝากเราซื้อของ ทำกันแบบนี้มานาน และถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งไทย ในการซื้อข้าวสาร ของใช้ต่างๆ จากพ่อค้าแม่ค้า ภาคเอกชนไทย แล้วส่งไปให้ฝั่งเมียนมา
“บิ๊กต้น” แปลกใจว่าทำไมเรื่องนี้กลายเป็นดรามาถูกโจมตี เพราะนี่เป็นการทำผ่านกลไกTBCที่เรามีอะไรก็ช่วยเหลือ ประสานงานกัน
แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง หากสถานการณ์ในเมียนมาเป็นปกติ เรื่องนี้ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในภาวะเหตุการณ์ไม่สงบ รัฐบาลทหารเมียนมา กำลังปราบปรามกลุ่มประท้วง เรื่องนี้จึงถูกมองว่าไทยให้การสนับสนุนส่งเสบียงให้ฝ่ายทหารเมียนมา กลายเป็นดรามาดังกล่าว
หลังจาก พล.ท.อภิเชษฐ์ ออกมาชี้แจง บางส่วนก็เข้าใจได้ แต่ชาวโซเซียลฯ หลายคนก็ยังดรามากันต่อว่า ทหารไทยกลายเป็นแค่คน “รับหิ้วของ” ส่งให้ทหารเมียนมาแล้วหรือ พร้อมๆ กับถามไถ่ แม่ทัพภาคที่ 3 คนนี้เป็นมาอย่างไร?
สำหรับ พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ หรือ “บิ๊กต้น” เข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 เมื่อ 1 ต.ค.ปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นรับหน้าที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 เติบโตมากับการทำงานในพื้นที่ชายแดน กับกองกำลังนเรศวร ได้รับการยอมรับว่าเป็นนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ
ว่ากันว่า “บิ๊กต้น” จัดเป็นหนึ่งในสามบิ๊ก “อภิ” ของ ทบ. เนื่องเพราะสมัยเรียน ตท.21 มีความสนิทสนมกับนักเรียนนายทหารที่มีชื่อนำว่า “อภิ” อีกสองคน หนึ่งคือ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. รุ่นพี่ ตท.20 ที่มาเรียน เสธ.ทบ.ด้วยกัน และอีกหนึ่งคือ “บิ๊กโต้ง” พล.อ.อภินันท์ คำเพราะ ตท.20 ร่วมรุ่น
เห็นอย่างนี้แล้วก็ต้องบอกว่า พล.ท.อภิเชษฐ์ ไม่ธรรมดา