xs
xsm
sm
md
lg

“ปิยบุตร” คิดอะไรอยู่ ยกกษัตริย์นอกโยงไทย? “นิพิฏฐ์” เหน็บใคร? นัก กม.พาไปหาคุก “3 นิ้ว” สู่ “ฮ่องกงโมเดล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
เหิมเกริมใหญ่! “ปิยบุตร” คิดอะไร ยก “กษัตริย์” นอกโยงไทย? “นิพิฏฐ์” เหน็บใคร? นักกฎหมายที่คบแล้ว พาไปหาคุกเป็นแถว “3 นิ้ว” กางแผนการรบ ลุย “ม็อบไม่มีแกนนำ” มวลชนรับผิดชอบตัวเอง แบบ “ฮ่องกงโมเดล”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 มี.ค.) เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความระบุว่า

“ชวนอ่านมุมมองคนรุ่นใหม่ในยุโรปที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ ในประเทศที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อาทิ เดนมาร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และ อังกฤษ

พวกเขามองสถาบันกษัตริย์อย่างไร? การวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้หรือไม่? และหากมีกฎหมายลงโทษการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์แบบประเทศไทย พวกเขาจะคิดอย่างไร?

บทความนี้น่าสนใจอย่างยิ่งในแง่ของการเปิดมุมมองทางความคิดเกี่ยวกับรัฐที่มีกษัตริย์เป็นประมุขเช่นเดียวกับประเทศไทย มาดูกันว่า ในโลกสากล พวกเขาคิดเห็นและแสดงออกต่อสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง”
https://decode.plus/20210104

ภาพ จากเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์หัวข้อ [จากสเปนถึงไทย : เผารูป แต่งเพลง วาดการ์ตูนล้อกษัตริย์]

โดยระบุว่า “การทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ผิดกฎหมายหรือไม่? กรณีลักษณะนี้ในประเทศอื่นๆ เป็นอย่างไร?
คืนนี้! 20.00 น. พบกันที่ Clubhouse ครับ
https://www.joinclubhouse.com/event/PDjBZ6Wb
#saveแอมมี่ #StandWithAmmy”

ภาพ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“เมื่อนักกฎหมายแสดงความเห็นทางกฎหมายท่ามกลางเสียงปรบมือ

- การแสดงความเห็นทางกฎหมาย ไม่ว่า คุณจะนุ่งโสร่ง หรือ แต่งสูท คุณจะนั่งกินส้มตำอยู่หน้าปั๊มน้ำมัน หรือนั่งกินอยู่ในโรงแรม 5 ดาว ความเห็นทางกฎหมายของคุณต้องเหมือนเดิม การแสดงความเห็นทางกฎหมายหากคุณแสดงความเห็นท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกเดียวกัน รับรอง ชาวบ้านได้ติดคุกกันยาว

- ผมเห็นนักกฎหมาย แสดงความเห็นบนเวทีปราศรัยท่ามกลางการชุมนุม ว่า “ตำรวจไม่มีสิทธิสลายการชุมนุม” ผู้ชุมนุมฮึกเหิม เข้าปะทะกับตำรวจ แน่นอน ผู้ที่เชื่อนักกฎหมายแบบนี้แล้วเข้าปะทะกับตำรวจ คุณได้ติดคุกยาว

- ผมเห็นนักกฎหมายบอกว่า ต้องยกเลิกมาตรา 112 จากนั้นผมเห็นมีผู้ละเมิด ม.112

นักกฎหมายเดินทางกลับบ้านอย่างภูมิใจ จากนั้น ผมเห็นผู้ชุมนุมทยอยเดินเข้าคุกกันเป็นแถว

- การแสดงความเห็นทางกฎหมาย ไม่ว่า แสดงความเห็นไปแล้วใครจะด่า ใครจะสรรเสริญ คุณต้องซื่อตรงต่อวิชาชีพ หากคุณต้องการเพียงคำสรรเสริญ ต้องการเพียงเสียงปรบมือ ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เท่ากับคุณกำลังทำให้ผู้ชุมนุมเดินทางเข้าคุกแทนที่จะได้เดินทางกลับบ้าน

- หากคุณเชื่อนักกฎหมายแบบนี้ ก่อนคุณจะเดินทางเข้าเรือนจำ ให้วัดความสูงของคุณไว้ก่อน และหลังจากคุณออกจากเรือนจำให้วัดความสูงของคุณอีกครั้ง คุณจะเห็นว่า ความสูงของคุณลดลงอย่างน้อย 1 ซม. ทำไมหรือ ก็เพราะตอนออกจากคุกคุณจะกลายเป็นผู้สูงอายุไปแล้ว ตามหลักวิชาการเมื่อคุณสูงอายุ ความสูงของคุณจะลดลง ผมกำลังจะสรุปว่า หากคุณเชื่อนักกฎหมายแบบนี้ คุณจะติดคุกยาว จนเมื่อออกจากคุกคุณก็กลายเป็นผู้สูงอายุไปแล้ว/”

ภาพ เพจเฟซบุ๊ก เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH โพสต์แนวทางต่อสู้ ระบุว่า

“REDEM เผยการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยเบื้องต้น ในวันที่รัฐยกระดับความรุนแรง และการชุมนุมแบบไม่มีแกนนำ

ในการชุมนุมช่วงหลังๆ จะสังเกตได้ว่า รัฐกระทำรุนแรงกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างความหวาดกลัวในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสังคมที่ยุติธรรม นี่ไม่ใช่เรื่องของความชอบธรรมในการฆ่า หรือ Lisense to kill อะไรทั้งสิ้น เพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของเหยื่อ แต่รัฐไม่ควรสังหารประชาชนของตนเองเพียงเพราะออกมาเรียกร้องความยุติธรรม/ความเสมอภาค เราจึงจำเป็นต้องศึกษาหาวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยเบื้องต้น เพื่อป้องกันตนเองจากรัฐอำมหิต

ทำไมการชุมนุมแบบไม่มีแกนนำจึงสร้างความกดดันให้รัฐมากเป็นพิเศษ:

ก่อนอื่นต้องเท้าความก่อนว่าในประเทศที่ดัชนีความเป็นประชาธิปไตยสูง การชุมนุมแบบไม่มีแกนนำ การชุมนุมที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของในการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรกติ เนื่องจากนี่คือจุดตั้งตนของกระบวนการประชาธิปไตย เป็นการสร้างวัฒนธรรมการต่อสู้และไม่ยอมจำนน หากพบเจอกับความอยุติธรรม โดยไม่จำเป็นต้องรอกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาตัดสินใจนำ นี่เป็นกระบวนการที่จะสามารถรักษาไว้ซึ่งประชาธิปไตยในระยะยาว และเมื่อไม่มีแกนนำ นั่นเท่ากับการที่รัฐ จะทำลายขบวนการเคลื่อนไหวได้ยากยิ่งขึ้น ไม่สามารถจับใครคนใดคนหนึ่งเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ความสามัคคีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของการเคลื่อนไหวแบบไม่มีแกนนำ เป็นสิ่งสำคัญ

หากไม่มีแกนนำหรือรถเครื่องเสียงแล้วเราต้องฟังใคร:

ในหลายประเทศการชุมนุมแบบไร้แกนนำมักใช้แอปพลิเคชันเพื่อตัดสินใจเรื่องต่างๆ ร่วมกัน เช่น สถานที่ เวลา และอื่นๆ ซึ่งการเคลื่อนไหวของ REDEM นั้น การตัดสินใจร่วมกันจะทำผ่าน TELEGRAM (https://t.me/joinchat/WPHvj-Vc6d80YWQ1) ซึ่งในขณะหน้างานอาจต้องร่วมกันกระจายข่าวสารด้วยเสียง สัญญาณมือหรือป้ายข้อความ ดังเช่นที่ในฮ่องกงเคยใช้ หากเรื่องใดที่ไม่ได้มีการตัดสินใจร่วมกันจำเป็นต้องใช้ไหวพริบในการจัดการกับปัญหานั้นๆ

แล้วจะทำอย่างไรหากไม่มีการ์ด:

ไม่มีการต่อสู้กับรัฐใดที่รับรองได้ว่าปลอดภัย 100% หรือแม้แต่บรรเทาความรุนแรงได้ พื้นที่ปลอดภัยอาจไม่มีอยู่จริง เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ารัฐจะใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่หรือวิธีใดบ้าง ผู้ชุมนุมจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับกับสถานการณ์เสี่ยงหากเกิดการปะทะ หรือหากไม่พร้อมสำหรับการปะทะ ควรศึกษาหาเส้นทางหลบเลี่ยงล่วงหน้า และออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด

ป้องกันมือที่ 3 หรือ io ที่แฝงตัวอย่างไร:

การป้องกันมือที่ 3 และ io อาจต้องอาศัยการช่วยกันสังเกตความผิดปกติต่างๆ อย่างไรก็ตาม การป้องกันนั้นไม่อาจทำได้ 100% เนื่องจากผู้ที่แฝงตัวนั้นถูกฝึกจากรัฐมาเป็นเวลานานและค่อนข้างมีประสบการณ์

หากมีคนเจ็บ/โดนจับ จะทำอย่างไร:

ม็อบคือการต่อสู้กับอำนาจรัฐ รัฐที่ผูกขาดความรุนแรงครบมือ ทั้งกองกำลัง กฎหมาย และสื่อ ความรุนแรงใดๆ หน้าที่ของรัฐจึงเป็นผู้ที่รักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม มิใช่การทำร้ายผู้ชุมนุม รัฐจึงควรเป็นผู้รับผิดชอบซึ่งความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุมทั้งหมด

แต่อย่างไรก็ตาม ในจุดชุมนุมจะมีอาสาพยาบาลที่รับส่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินและหากถูกจับ สำคัญที่สุดคือต้องมีผู้ที่รู้ว่าเราถูกจับ โดยปกติแล้วสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองคือสามารถแจ้งบุคคลที่ไว้วางใจ/ทนายได้หากถูกควบคุมตัว

* ควรมีเบอร์เรียกรถพยาบาลติดไว้หากอยู่ในจุดที่ไม่มีหน่วยพยาบาลอยู่ และควรมีเบอร์ทนายความหรือศูนย์ทนายเพื่อติดต่อในยามฉุกเฉิน

วิธีการต่อสู้/เส้นสันติวิธี:

แต่ละคนมีเส้นสันติวิธีไม่เท่ากัน จึงอาจมีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง แต่หากเราเชื่อว่านี่คือการต่อสู้ที่เราทุกคนเท่ากัน ในการชุมนุมแบบไร้แกนนำจึงจำเป็นต้องเปิดรับแนวทางการต่อสู้ให้กว้างขึ้น เช่น การสาดสีหรือเผารูป บางคนอาจมองว่าคือความรุนแรง แต่บางคนนั้นมองว่าไม่รุนแรง

หากเจ้าหน้าที่ขอเจรจา:

ไม่มีใครเจรจาต่อรองข้อเรียกร้องกับเจ้าหน้าที่ได้เต็มที่ 100% เพราะการชุมนุมแบบไม่มีแกนนำคือการที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของการเคลื่อนไหว

ความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น:

การชุมนุมแบบไม่มีแกนนำ และทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของการเคลื่อนไหว ผู้ที่ออกมาต่อสู้ทุกคนจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบในความเสี่ยงของตัวเอง นี่คือการต่อสู้ของผู้คนที่มีสถานะเท่ากัน ผู้กระทำความรุนแรงต่อประชาชนหลายสิบปีคือรัฐ ทั้งการฉีกรัฐธรรมนูญจากประชาชน และอื่นๆ นับไม่ถ้วน รัฐได้ยกระดับแล้ว ไม่ว่าเราจะสู้ด้วยวิธีใด จะนั่งพับเพียบ จะตรึงกำลังตั้งแนวป้องกันเป็นโล่มนุษย์ รัฐก็พร้อมโต้กลับอย่างรุนแรงไร้มนุษยธรรมอยู่ดีหากต้องการรักษาไว้ซึ่งอำนาจ

ประชาธิปไตยโดยตัวมันเองนั้นบอบบาง แต่จะลงหลักปักฐานและแข็งแกร่งได้ก็ด้วยพลังของประชาชน สิทธิต่างๆ ที่ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนทุกวันนี้ เช่น สิทธิในการลาคลอด วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นั้นเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการต่อสู้ของมวลชน ดังคำกล่าวที่ว่า “เสรีภาพไม่ได้ติดตัวมนุษย์โดยกำเนิด แต่เกิดจากการต่อสู้”

แน่นอน, สัญญาณที่เห็นชัดจากแนวทางต่อสู้ของม็อบ “3 นิ้ว” ก็คือ ประเด็นเรียกร้อง 3 ข้อยังคงเดิม หนึ่ง ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมพวกออกจากตำแหน่ง สอง แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ สาม ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ พร้อมปะทะด้วยความรุนแรง โดยโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ฝ่ายรัฐ

ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นม็อบไม่มีแกนนำ คุมไม่ได้ ต่อรองไม่ได้ ที่แม้ว่า หลายคนแม้แต่ฝ่ายเดียวกัน (สมศักดิ์ เจียมฯ) จะออกมาเตือน ว่า “ไม่ใช่ไอเดียที่ดี” อาจเกิดความรุนแรง ก็ไม่สนใจ

ที่สำคัญ มันคือ “ฮ่องกงโมเดล” ที่หลายคนมีภาพติดตาอยู่แล้วจากข่าวการปะทะกันของม็อบและเจ้าหน้าที่คุมฝูงชน
มันคือ สงครามกลางเมืองดีๆนี่เอง แล้วคำว่า “...ไทยนี้รักสงบ...” จะเหลืออะไร ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่ต้องพูดถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องพูดถึง เหตุจลาจลทางการเมืองบานปลาย ไม่ต้องพูดถึงการใช้อาวุธเข้าต่อสู้ จนเกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล เพราะทุกอย่างไม่มีทางหลีกพ้น

คนไทยจะยอมหรือไม่? นี่คือ คำถามตัวโตที่จะต้องช่วยกันตอบให้ได้ด้วยตัวเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น