ข่าวปนคน คนปนข่าว
**แอมมี่สารภาพเอง ข้อหาหนัก-เจตนาหลบหนี ศาลไม่ให้ประกันตัว นี่เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องศักดิ์สิทธิ์ แล้ว 3 นิ้วจะมาดรามาอะไรกัน
พลันที่ "ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์" หรือ "แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์" แนวร่วมกลุ่มราษฎร ผู้ต้องหาคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ หน้าเรือนจำคลองเปรม ถูกจับ บรรดาฝ่ายม็อบ3นิ้ว ก็ใช้โซเชียลฯ กระหน่ำก่อหวอด ดรามากันหนัก เช่น ติด #Saveแอมมี่ # ยกเลิก112 สร้างกระแสเพื่อกดดันฝ่ายรัฐ
แนวร่วมของ3นิ้ว พยายามอ้างข้อกฎหมาย หรือเบี่ยงเบนประเด็นว่า ตำรวจตามไปจับ"แอมมี่" ที่รพ. เพื่อชี้ให้เห็นว่าแอมมี่นั้นป่วยนอนพักรักษาตัวอยูโรงพยาบาล จะไปก่อเหตุได้อย่างไร ขณะที่สื่อแนวร่วมก็พยายามถามเค้นตำรวจ มีหลักฐานอะไร ชนิดที่การถามกลายเป็นการ "ตะคอก" ตำรวจที่นักข่าวถูกวิจารณ์ถึงการทำหน้าที่เกินเลยใส่อารมณ์ หรือกระทั่งตั้งคำถามว่า ทำไมตำรวจไม่ทำตามขั้นตอน ออกหมายเรียกผู้ต้องหา ก่อน แล้วค่อยออกหมายจับ พยายามเรียกร้องหามาตรฐานกระบวนการยุติธรรม แม้แต่ทำไม"แอมมี่" ไม่ได้ประกันตัวเหมือน แกนนำ กกปส. ที่ถูกตัดสินคดีไปก่อนหน้า
ดรามายังลุกลาม เรียกร้องให้กรณีของ"แอมมี่" เป็นตัวอย่างของการกระทำตาม หนักข้อไปถึงการวิพากษ์ ม.112 ที่รัฐมีไว้รังแกฝ่ายตรงข้าม
เรื่องนี้ว่ากันตามจริง คือ"แอมมี่" ถูกบุกจับคาห้องพัก แล้วขอตำรวจให้พาไปรพ. เพราะตกนั่งร้านจนกระดูกไหล่น่าจะร้าว และ"สารภาพ"เรียบร้อย เพราะจำนนต่อหลักฐานกล้องวงจรปิดที่จับภาพได้ชัดเจน
ตัว"แอมมี่" เองได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก “แอมมี่ The Bottom Blues”หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมว่า... "การกระทำการเผา...ในครั้งนี้ เป็นฝีมือของผมและผมขอรับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเคลื่อนไหว หรือการเรียกร้องใดๆ
เหตุผลของผมนั้นเข้าใจง่ายมาก เล่าไปถึงตอนผมโดนจับไป วันที่ 13 ตุลา ปีที่แล้ว เพนกวิ้น คือคนแรกที่โทรหาผมบนรถห้องขัง และ ประกาศรวมพลมวลชนทันที
แต่กลับกันในครั้งนี้ กวิ้น และพี่น้องของผมต้องติดอยู่ในคุกนานกว่า 20 วันแล้ว แต่ผมไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเค้าได้เลย ผมรู้สึกละอาย และผิดหวังในตัวเอง
การเผา...ในครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลา และทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในการเผาครั้งนี้มีอยู่มากมาย เป็นเชิงสัญลักษณ์ง่ายๆ ที่หวังว่าทุกคนเข้าใจ และจะมองเห็นมัน"
ทีนี้มาดูข้อกล่าวหาที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา"แอมมี่" ว่ากระทำความผิดคือ “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความ"อาฆาตมาดร้าย" พระมหากษัตริย์, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112, 217, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (3)
ต่อมา "แม่ของแอมมี่" ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 90,000 บาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการฝากขัง แต่ศาลอาญา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพนักงานสอบสวนยืนยันว่า ผู้ต้องหาหลบหนี จนถูกเจ้าพนักงานติดตามไปจับกุม ดังนั้นหากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจะหลบหนีในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง ไม่ให้ประกันตัว
ส่วนเรื่องที่ "กลุ่ม3 นิ้ว" บอกว่าทำไมไม่ออกหมายเรียกก่อนหมายจับทันที กรณีนี้ ก็มีผู้รู้ทางกฏหมาย อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เพราะ พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนเชื่อได้ว่า "แอมมี่" กระทำความผิดจริง ซึ่งกรณีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ เป็นต้นว่า ปล้น ฆ่า หรือวางเพลิง แล้วหลบหนีไป หรือหลบซ่อนอยู่ คงไม่มีใครบ้าออกหมายเรียกให้มาแสดงตัว ทำให้รู้ตัวแล้วเผ่นแน่บ
ในคดีแอมมี่นี้ การวางเพลิง นอกจากเขาจะเผาสิ่งปลูกสร้างแล้ว ยังจงใจเผาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าข่าย "การอาฆาตมาดร้าย" ตาม ป.อาญา มาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ดังนั้นเป็นที่มาของการออกหมายจับทันที
จะเห็นว่าการดำเนินคดีกับ"แอมมี่" ที่เจ้าตัวเองก็สารภาพ จะโง่เขลา จะรักพวกพ้อง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" ความผิดนั้นสำเร็จไปแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามหลักกฎหมายทุกประการ
กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ทำผิดก็ต้องได้รับโทษ พวก3นิ้ว จะมาดรามาอะไรกัน
"แอมมี่"... เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
** ส.ว.ส่งสัญาณโหวตคว่ำ แก้รธน.วาระ 3 ถ้าผ่านด่านศาลรธน.มาได้ เพราะไม่เชื่อใจส.ส.ว่าจะไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาวินิจคำร้องของ "ไพบูลย์ นิติตะวัน" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะเห็นว่าการแก้ไขรธน. ที่สภาได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นด้วยการให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น "ทำไม่ได้" เพราะรัฐธรรมนูญ ให้ทำได้แค่การแก้ไขรายมาตราเท่านั้น
ขณะที่ ส.ส.อีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะฝ่ายค้านเห็นว่า รัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า สภามีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราได้ โดยมีข้อจำกัดเพียงห้ามแก้ไขแล้วไปกระทบต่อระบอบการปกครองและรูปแบบของรัฐเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขโดยให้มีส.ส.ร. จึงอยู่ในกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
จึงต้องติดตามว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (4มี.ค.) จะออกมาอย่างไร...ถ้าศาลฯเห็นว่า ขัดรัฐธรรมนูญ ก็เป็นอันว่าสิ่งที่สภาได้ดำเนินการมาจนกระทั่งผ่านวาระ 2 ไปแล้ว รอการพิจารณาวาระ 3 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ ก็เป็นอันต้องหยุดไป ไม่ต้องพิจารณาต่อ ...แต่ถ้าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ดำเนินการต่อในวาระ 3 ได้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าได้ไปต่อจะผ่านด่านวาระ 3 ไปได้หรือไม่ !!
เพราะตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ต้องใช้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 376 เสียง และในจำนวนนี้ ต้องได้เสียงเห็นชอบจากส.ว. ไม่น้อยกว่า1 ใน 3 ของจำนวน ส.ว.หรือ 84 คนแล้ว ยังต้องมีเสียงส.ส.จากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาหรือ รองประธานผู้แทนฯ หรือ“ส.ส. ฝ่ายค้าน”เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน
ปัญหาใหญ่อยู่ที่เสียงส.ว.84เสียง จะยอมให้ผ่านหรือไม่ และขณะนี้ก็มี "ส.ว.คนสำคัญ" 2 คน ที่พอจะบอกได้ว่าเป็นเสมือนตัวแทนของส.ว.ส่วนใหญ่ ออกมาประกาศแล้วว่า "ต้องคว่ำ"!!
คนแรกคือ "กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ" เจ้าของวาทะ "ส.ส.ขี้ข้าโจร" บอกว่าที่ต้องโหวตคว่ำ เพราะลึกๆแล้วเชื่อว่า การแก้รธน.ครั้งนี้ มีส.ส.เจตนาจะแตะ หมวด 1 และ หมวด 2 ซึ่งส.ว.มีจุดยืนชัดเจนว่า "ห้ามแก้ไข" โดยในช่วงของการพิจารณาวาระ 2 ทางส.ว.ได้หาแนวทางป้องกันไว้แล้ว ด้วยการเสนอให้เพิ่มเติมข้อความว่า ให้รวมถึงการห้าม ส.ส.ร.แก้ไขเนื้อหาอีก 38 มาตรา ที่เกี่ยวกับสถาบันฯ เข้าไปในร่างรธน.ด้วย แต่ปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนน 349 ต่อ 200 ไม่ให้เพิ่มเติมถ้อยคำตามที่ส.ว.เสนอไป
ที่น่าสังเกตคือ 349เสียงนั้น ไม่ใช่แค่เสียงฝ่ายค้าน แต่มีเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลรวมอยู่ด้วย ...ทำให้ส.ว.ไม่ไว้ใจ และเห็นตรงกันว่า ต้องโหวตคว่ำ รธน.วาระ 3 เพื่อ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ... และถ้าการแก้รธน.ถูกตีตกไป จะเป็นชนวนให้เกิดการชุมนุมใหญ่ก็ไม่เป็นไร เพราะบ้านเมืองจะไปทำตามใจม็อบคงไม่ได้ แล้วก็เห็นกันอยู่ว่าข้อเรียกร้อง เป้าหมายของม็อบกลุ่มนี้ ก็ทะลุเพดาน เกินเรื่องแก้รธน.ไปแล้ว ...และก็ต้องคิดอีกมุมด้วยว่าถ้าปล่อยให้ผ่านไป ฝ่ายที่ปกป้องสถาบันฯ ก็จะออกมา กลายเป็นความขัดแย้งไม่สิ้นสุดเหมือนกัน...ดังนั้น "อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด" !!
อีกคนคือ "เสธ.อู้" พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ถือว่าเป็นตัวแทน "ส.ว.สายทหาร" ก็ออกมาบอกว่า การโหวต รธน.วาระ 3 เสียงส.ว.ไม่ถึง 84 เสียงแน่ เพราะเห็นสัญญาณชัดเจนมาตั้งแต่การแก้รธน.วาระ 2 แล้วว่า ทางฝั่งส.ส. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อเสนอของส.ว.เลย ทั้งเรื่องจำนวนเสียงในการแก้ไขรธน.ที่ส.ว.เสนอไปให้ใช้เสียงที่ประชุมรัฐสภา 2 ใน 3 และ กรณีการขอให้เพิ่มข้อความ ห้ามส.ส.ร.แก้ไข 38 มาตรา ที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจ ปรากฏว่า สิ่งที่ส.ว. เสนอไป แพ้โหวตทั้งหมด ทำให้ส.ว. เห็นตรงกันว่า จะไม่โหวตผ่านวาระ 3
ต้องติดตามกันว่า การแก้รธน.จะผ่านด่านศาลรธน.หรือไม่ และถ้าผ่านมาได้ จะผ่านด่านส.ว.หรือไม่