“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ประสานเสียงแจงสภาแต่งตั้งตำรวจยึดหลักเกณฑ์ ก.ตร. ยันไม่เคยรับเงินสินบนซื้อขายตำแหน่ง ท้าเปิดหลักฐานเงินถึงมือตัวเอง “ลุงป้อม” คาใจ “โรม” ซักฟอกมีอะไรแอบแฝง
วันนี้ (19 ก.พ.) ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจว่า สำหรับการอภิปรายที่ตนได้รับฟังข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงเช้าในหลายเรื่อง ยืนยันว่าการทำอะไรก็ตามต้องดูขั้นตอน รู้กฎหมาย และดูวิธีการรวมทั้งหลักปฏิบัติและขั้นตอนการปฏิบัติในการทำงาน หลายคนในที่นี้ก็เป็นตำรวจ แต่อาจไม่เคยปฏิบัติงานในหน้าที่ระดับที่สูงในการเข้าไปพิจารณาในคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ดังนั้น ชี้แจงว่าสำหรับเรื่องหนังสือสนับสนุนการแต่งตั้งข้าราชการตํารวจระดับสารวัตรที่เสนอต่อ ผบ.ตร.นั้นก็เป็นหนังสือสนับสนุนการพิจารณาขอแต่งตั้งที่จะมาจากหน่วยไหนก็ได้ โดยอยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจจะรับไว้พิจารณาหรือไม่รับพิจารณาก็ได้ ส่วนการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่มีการยกเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นั้นก็มีการเสนอผ่าน ผบ.ตร.ขึ้นมา โดยต้องเป็นการพิจารณาความรู้ความสามารถ ความประพฤติ ประสบการณ์ และการรับราชการ รวมทั้งเหตุผลอันสมควรและความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามความรู้ความสามารถพิเศษเฉพาะทาง และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ผู้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาโดยพิจารณาจากผลงานที่ปรากฏด้วย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การแต่งตั้งที่ผ่านมานั้นก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจ 2547 และกฎของ ก.ตร.ที่ได้ให้อำนาจไว้ทุกประการ ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ยืนยันว่าเราให้โอกาสในกรณีที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งสามารถร้องเรียนและร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาขึ้นมาได้ หรือผ่าน ก.ตร.ที่มีคณะอนุกรรมการการร้องทุกข์ ดังนั้น ตำรวจส่วนใหญ่ก็มีความพอใจการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของรองนายกฯ และตน ไม่ใช่ว่าใช้อำนาจแล้วไม่ให้โอกาส แต่เป็นเรื่องของอนุกรรมการพิจารณา เพราะไม่ใช่ตนนั่งหัวโต๊ะแล้วสั่งได้ทั้งหมด เพราะทุกอย่างเป็นไปตามมติ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเคยพูดไปแล้วว่ามี 3 ระดับ ตนเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วน ก.ตร.ในการแต่งตั้งตำรวจชั้นนายพลซึ่งมีคณะกรรมการมาจากหลายฝ่าย อีกทั้งคิดว่าจากการประชุมที่ผ่านมาและจากการประสบด้วยตนเองที่เข้าไปดูแลเห็นมีข้อเสนอดีๆ ทั้งนั้น และบางครั้งเสนอขึ้นมาคณะกรรมการก็ไม่ได้เห็นชอบทั้งหมด แต่ต้องผ่านการตรวจสอบคัดกรองเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน วาระประจำปีจะมีการแต่งตั้งทดแทนข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ลาออก ปลดออก และเสียชีวิต นอกจากนี้ก็มีอยู่แล้วในการแต่งตั้ง 33 เปอร์เซ็นต์ในส่วนของอาวุโสที่มีการแบ่งไว้อยู่แล้ว หากมองว่าอาวุโสอย่างเดียวก็คงไม่พอต้องมองความเหมาะสมด้วย อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเราได้มีการกระจายอำนาจลงไปหลายระดับ สุดแล้วแต่ผู้แทนในระดับชั้นยศพิจารณาอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะเสนอขึ้นมาแล้วได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งสิ้น
“การไปบอกว่าใครเสียเงินเสียทอง ทั้งรองนายกฯ และผม ก็บอกแล้วว่าให้มาที่ผม หรือรองนายกฯ เลยก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเข้ามาร้องเรียน แต่มีการพูดจาภายนอก ผมก็เกรงว่าเดี๋ยวก็จะเป็นการหลอกเอาเงินแอบอ้างอะไรทำนองนี้ ดังนั้น บอกมาเลยใครเสียเงิน ผมประกาศไปแล้วหลายที หลายปีที่ผ่านมาจะบอกว่าใครจะมีใบเสร็จ ซึ่งการทุจริตด้วยการมีทั้งสองฝ่ายทั้งผู้รับและผู้ให้ผู้เรียก และผู้เสนอ แต่การจะอ้างว่าผมกับรองนายกฯ ได้ประโยชน์ ผมอยากจะถามว่าผมได้ประโยชน์จากที่ไหน มีหลักฐานหรือยัง ถ้าพูดแบบนี้มันก็ลอยลมกันอยู่แบบนี้ พูดได้หมด และรายชื่อทั้งหมดที่เอามาให้เห็น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ารายชื่อเหล่านี้มันเป็นยังไง บางรายชื่อเป็นรายชื่อที่เปิดเผย เพื่อให้ตำรวจรับทราบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มคุณสมบัติที่เหมาะสมหรือไม่ และทุกหน่วยในทุกระดับจะรู้ เพื่อจะได้ตรวจสอบก่อนนำมาเสนอคัดกรองในการแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง ถึงไม่ใช่เรื่องลับอะไรทั้งสิ้น ทุกคนก็จะรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ บัญชีรายชื่อแรกที่จะเข้ามาพิจารณานั้น บัญชีแรกรอความเหมาะสมและประกอบด้วยอาวุโส ดังนั้น จะหัวหรือท้ายตารางก็คือกลุ่มที่เหมาะสมที่ถูกเสนอเข้ามาเพื่อเข้าสู่การพิจารณา ดังนั้น การจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน อย่างไรก็ตาม ต้องเห็นใจองค์กรตำรวจซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกำลังพลกว่า กว่า 2 แสนนาย ดังนั้น เราต้องทำงานด้วยความถูกต้องและด้วยกฎหมาย เพราะการดูแลองค์กรขนาดใหญ่นั้นไม่ง่าย จึงต้องใช้หลักการของกฎหมาย ส่วนประเด็นที่อภิปรายว่าการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ซื้อขายตำแหน่งนั้น ย้ำว่าตนได้บอกหลายครั้งแล้วว่าให้ร้องเรียนเข้ามา หลายคนก็มีการร้องเรียนเข้ามาในคณะกรรมการอุทธรณ์ แต่ไม่มีคนรับสารภาพเลยว่าจ่ายเงินให้ใคร แล้วมาบอกว่าทั้งหมดมาส่งที่ตนเอง และรองนายกฯ ยืนยันว่าไม่มี ด้วยความสุจริตของตนยืนยันได้ว่าไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออะไรก็แล้วแต่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงประเด็นการจัดตั้งหน่วยงานในพระองค์ที่เรียกว่าตำรวจมหาดเล็กรักษาพระองค์ ว่าเป็นการปรับย้าย ปรับโอนเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติงานในหน่วยงานดังกล่าวที่จัดตั้งมาเพื่อถวายงานใกล้ชิดในการดูแลถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติด้วย จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือก คัดสรร และสอบถามทัศนคติ หากไม่ผ่านหรือไม่เหมาะสมก็ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เดิม ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นเพื่อความสง่างาม ดังนั้น ที่มีคนบอกว่าทำไมต้องมีการไปตรวจขาโก่งไม่โก่งนั้นก็เป็นการแสดงออกต่อสังคมภายนอกในการถวายงานเรื่องเหล่านี้ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว จึงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ต้องเข้มงวดพอสมควร ย้ำว่าพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรมให้มากที่สุดในเรื่องของการอำนวยความยุติธรรม การตรวจสอบการรับเงินร้องเรียนร้องทุกข์ซึ่งเรามีการร้องทุกข์มาจากพลเรือนประชาชนมากมายและนำมาสู่การแก้ปัญหา แต่การบริหารส่วนราชการขนาดใหญ่ต้องเอากฎหมายและหลักการมาทำความเข้าใจ
“ผมไม่อยากให้การพูดจาวันนี้เสียหาย แล้วก็หลายๆ อย่าง ทั้งสังคม ประชาชน ก็ทราบดีว่าความมุ่งหมายหลายๆ อย่างที่กล่าวมาทั้งหมดมุ่งหมายไปเพื่ออะไร เพราะมีการพูดถึงว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้แบบนี้ ผมว่ามันไม่ใช่มั้ง เพราะคนที่ทำความผิดหลายๆ คดีเขาก็ไม่ได้พูดแบบนี้ เขาก็ไม่ได้ประกาศว่าจะโดนจับ 3 เดือนข้างหน้า ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนจับหรือเปล่า มันอยู่ที่การกระทำของท่าน แต่การที่ท่านพูดวันนี้มันมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นหรือเปล่า อย่างที่สมาชิกหลายๆ คนประท้วง ผมเห็นว่าทุกคนก็พยายามจะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด และทำยังไงไม่ให้กฎหมายเสียหาย ไม่ทำให้องค์กรเสียหาย เพราะเป็นองค์กรที่ดูแลประชาชนต้องมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเสมอ แต่จะทำอย่างไรเราจะเอาคนไม่ดีออกไปให้มากที่สุด” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า ตนไม่อยากให้ทุกคนเอาเรื่องต่างๆ มาปนกันไปมา เพราะเกรงว่าสังคมจะสับสน จึงขอให้มีความเชื่อมั่น เพราะได้ให้แนวนโยบายเหมือนที่รองนายกฯ ให้ไปแล้ว คือไม่ว่าจะทหารหรือตำรวจต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งของประชาชนให้ได้ในทุกโอกาส หลายอย่างพิสูจน์ทราบมาแล้ว ในส่วนที่ยังไม่ดีเราก็แก้ไขกันไป คนดีหรือไม่ดีอยู่ที่กฎหมาย กฎระเบียบ ที่จะแยกแยะคนเหล่านี้ออกมาเอง
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตนได้นั่งฟังการชี้แจงของผู้อภิปราย ก็ต้องขอขอบคุณในข้อมูลที่ให้ แต่ในช่วงที่ตนนั่งเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อยู่นั้น ตนทำตามระเบียบของกรมตำรวจ และกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของการดำเนินการทุกอย่าง ก็ต้องขอบคุณที่ผู้อภิปรายได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าใครไม่ได้อะไร นั่นเป็นเรื่องของรายละเอียดซึ่งเป็นหน้าที่ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) จะพิจารณาคนของเขาว่าใครมีความสามารถอย่างไร เพราะฉะนั้นก็อยากแจ้งให้ทราบว่า เราทำทุกอย่างตามขั้นตอนตามระเบียบ ตามกฎข้อบังคับ และตามมติ ครม.ที่ได้มอบหมายไว้