วันนี้ (11 ก.พ.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ระบุว่า ตนทราบข่าวกรณี ส.ส.พรรคก้าวไกลส่วนใหญ่ได้ยื่นญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎรแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 วานนี้ (10 ก.พ.) รู้สึกตกใจมากที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล้ากระทำการอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งต่อพ่อแม่พี่น้องคนไทยทั้งประเทศ
นายสามารถกล่าวอีกว่า ในเรื่องกฎหมายหมิ่นประมาทนั้นประชาชนทั่วประเทศก็ยังได้รับการคุ้มครองด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ระบุว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และบุคคลทั่วไปยังได้รับการคุ้มครองพิเศษอีกคือ มาตรา 328 ระบุว่า“ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษรกระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท” จะเห็นได้ว่าคนธรรมดายังได้รับการคุ้มครองเลย
“แต่ ส.ส.พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยมีอำนาจทางนิติบัญญัติในการออกกฎหมาย แต่กลับมาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวข้องกับสถาบันหลักของชาติให้ไม่มีกฎหมายคุ้มครองเลยหรือมีก็เบาบางมากคือจะให้ลดโทษกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหลือจำคุกเพียงหนึ่งปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท จะเห็นได้ว่ากฎหมายคุ้มครองประชาชนยังจะมากกว่าการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์เสียอีก ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
นายสามารถกล่าวต่อว่า เหนือสิ่งอื่นใดตนได้เห็น ส.ส.พรรคก้าวไกล 3-4 คน เดินทางไปศาลอาญาเพื่อเอาผิดบุคคลอื่นในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มีโทษจำคุกสองปี ตนแปลกใจมากเพราะว่าหากบุคคลอื่นทำให้ตัวเองเสียสิทธิแต่กลับรักษาสิทธิของตัวเอง แต่ในทางกลับกันสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักเทิดทูนอยู่เหนือการเมืองกลับไปดึงลงมาและมีความพยายามจะให้สถาบันฯ มัวหมอง นี่คือบันไดก้าวแรกของการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งในต่างประเทศมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว
ทั้งนี้ ในประเทศไทยนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับสังคมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่มีชาติไทย เรามีประวัติศาสตร์ได้ก็เพราะเรามีภาษาไทยซึ่งเกิดขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระองค์ถือเป็นพระมหากษัตริย์ของไทย แต่วันนี้ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ยื่นญัตตินั้นกำลังทำลายหัวใจคนไทย ตนคิดว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องรับผิดชอบ และตนมั่นใจว่าถ้าเรื่องนี้เข้าสู่สภาผู้แสนราษฎรแล้วจะมี ส.ส.หลายท่านเตรียมรอคว่ำญัตติดังกล่าว โดย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจะยกมือคว่ำอย่างแน่นอน เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีความจงรักภักดีและกตัญญูต่อสถาบันหลักทั้ง 3 สถาบันเป็นที่สุด
“ผมเชื่อว่าสุดท้าย ส.ส.จะไม่มีใครอกตัญญูต่อแผ่นดินถิ่นเกิด และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในสมัยโบราณสถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนเจ้าเหนือหัวเจ้าชีวิต ผมจึงขอหยิบยกความหมายของคำว่า อกตัญญู ขึ้นมาเตือนสติ คำว่า อกตัญญู แปลว่าผู้ไม่รู้สึกถึงบุญคุณที่ผู้อื่นทำแก่ตน ผู้ไม่มีความกตัญญู อกตัญญู คือเนรคุณ ทรยศ หักหลัง ไม่ซื่อสัตย์ ผู้ระลึกไม่ได้ว่าใครเคยทำดีเคยช่วยเหลือเกื้อกูลตนมา ผู้ลืมบุญคุณของคนอื่นที่ทำแก่ตนมา ผู้ไม่ยอมรับบุญคุณของใครทั้งนั้น”
ขอหยิบยกคำบาลีมาเตือนสตินายพิธา และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ยื่นญัตติดังกล่าวได้อ่านเพื่อจะได้มีปัญญา มิหลงผิดทำชั่ว คิดชั่ว คำบาลีว่า “สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา นากตญฺญุมภิราธเย ถึงให้แผ่นดินทั้งหมดก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้” จึงอยากเตือนนายพิธาในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้หัดฟังนายคารม พลพรกลาง ส.ส.พรรคก้าวไกลบ้าง เพราะตนกังวลว่าชาวบ้านจะไม่เลือกพรรคก้าวไกลในสมัยหน้า ด้วยความกังวลกลัวว่าชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่า ส.ส.เหล่านั้นเป็นพวกที่ถึงแม้ยกแผ่นดินให้ทั้งหมดก็จะให้จงรักภักดีก็หาได้ไม่ หวังว่าข้อความนี้จะถึงหูนายพิธาบ้าง เพราะมันจะดีต่อตัวนายพิธา และพรรคก้าวไกลเอง