หลังพิธีกรชื่อดัง “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ได้ออกมาพูดพาดพิงถึงสาวข้ามเพศพันล้าน “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้บริหารบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จํากัด (มหาชน) ในกรณีที่ไปออกรายการหนึ่งแล้วโดนพูดเรื่องเซ็กซ์ซาดิสต์ พาดพิง แคทรีโอนา เกรย์ นางงามขวัญใจคนไทยจนเกิดกระแสดรามาหนัก โดยณวัฒน์โพสต์ฉะเดือด พร้อมประกาศแบนทุกรายการที่ทำ ด้านแอนก็ไม่ยอม ออกมาฟาด เรียกว่าแลกกันคนละหมัด ถามผิดใจอะไรกัน ความกตัญญูต่อลูกค้ามีไหม
ล่าสุดวันนี้ “ณวัฒน์” ก็เลยขอออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง แฉอีกฝ่ายจ่ายเงินช้า ต้องยกหนี้ข้ามปี จนสายป่านขาดในปี 61ปี ลั่นไม่ได้ออกมาทวงเพราะได้รับครบแล้ว แต่อยากอธิบายว่าไม่ได้เนรคุณหรืออกตัญญู มีหลักฐานทุกอย่าง ไม่โกรธโดนไล่ไปแปลงเพศ ฝากบอกให้ใจเย็นๆ ณ ตอนนี้ขอหยุดร่วมงานก่อน
“ผมขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกันนะครับ เรื่องแรกจริงๆ แล้วตั้งหลักมาไม่อยากพูดเลยนะ เพราะอยากให้เรื่องมันทุเลาไปตามกาลและเวลา คนเราต้องมีเหตุผลและมีหลักการของตัวเอง เรื่องการสนับสนุนการเป็นสปอนเซอร์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าการสนับสนุนการเป็นสปอนเซอร์ คือเป็นการทำตามข้อตกลง ผลประโยชน์ต่างตอบแทน แล้วผมอธิบายตรงๆ ชัด ๆ เลย ว่าเราทำงานเต็มความสามารถของเราแล้ว ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่มันถาโถมและทุกข์หนัก มันเข้ามาในชีวิตของผม ของบริษัทและของนางงามทุกๆ คน
เคสสุดท้ายคือปีโกโก้ (อารยะ ศุภฤกษ์) ตีซะว่าเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะครับ ที่ไปเดินแฟชั่นโชว์ชุดประจำชาติ ประมาณเกือบ 20 คน ไปเดินแล้วทุกคนทนทุกข์ทรมานมาก ไม่มีห้องแต่งตัว ไม่มีห้องแต่งหน้า ต้องไปตามซอก ไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าต้องไปในห้องน้ำ ไม่มีอาหาร เออาร์ของผมเครียดมาก แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่ลำบากมากกับน้องทุกคนในการทำงาน แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาเสมอ
จนเหมือนกับว่าได้รับความลำบากเหลือเกิน แต่ถามว่าแล้วทำงานได้ไหม มันก็คงทำได้ แต่มันได้รับการดูแลแบบนี้จริงๆ ผู้หญิง 20 คนกับช่างแต่งหน้ายังไม่เท่าไหร่ คอสตูมอีก กับชุดประจำชาติที่ต้องการไปโชว์ แล้วการไปโชว์ครั้งนั้น ก็ไปอยู่ในแพ็กที่เป็นคอมพลีเมนทารี เราทำงานเต็มความสามารถแล้วครับ แต่ว่าเราไม่ได้รับความอำนวยความสะดวก ซึ่งมันก็ลำบาก แต่ถามว่าโกรธไหม ก็แค่สงสัย แล้วมันก็เป็นแบบนี้ จนน้องๆ หรือทีมเออาร์ หรือที่บริษัทเขาก็รู้สึก เพราะเขาบอกว่าพอก่อน คือมันหลายครั้ง อันนั้นคือส่วนหนึ่ง
แล้วอีกจุดหนึ่งที่ผมจะพูดขออนุญาตพูดถึงเรื่อง พอดีว่าแท็กเรื่องของการเป็นสปอนเซอร์ การมีบุญคุณ ตอบไปแล้วนะครับ บุญคุญการเป็นผู้สนับสนุน เป็นสัญญาการตอบแทน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือ อันนี้ผมพูดถึงเรื่องทั่วไปแล้วกันนะ ว่าถ้าเกิดใครเป็นสปอนเซอร์คุณ แล้วจ่ายเงินช้าตลอดช้ามากๆ ทวงแล้วทวงอีกและไม่จ่าย และช้ามากทุกครั้ง คุณจะรู้สึกเหนื่อยและล้าไหม
สิ่งที่ผมพูดมันมีหลักฐานและหลักการชัดเจน ผมมีวันวางอินวอยซ์ วันที่ได้เงินทุกครั้ง จนสายป่านเส้นสุดท้ายผมขาดเมื่อปี 2561 ปีที่โกโก้ได้ เพราะเนื่องจากว่าบริษัทผมเตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ บริษัทผมก็มีโพลีซีค่อนข้างสูง เรื่องของการยกหนี้ข้ามปี เนื่องจากมันจะเป็นโปรไฟล์ที่ไม่ดี แล้วเราต้องตัดเป็น ถ้าเกิดจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ มันต้องไปทำระบบอีกแบบหนึ่ง
ก็เป็นเรื่องที่เราต้องได้รับการอบรมจากบริษัท ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ที่สุด แต่ฝ่ายคอมเมอร์เชียลและบริษัทที่ปรึกษาในการพาเข้าตลาด บอกว่าให้ยุติการค้าการขายโฆษณา ให้กับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ (ตัดทิ้งไปเลย?) ไม่ เราได้เงินครบแล้ว เพียงแต่ว่ามันข้ามปี การที่เราทำงานไปนานแสนนาน ทำมาทุกอย่างให้หมดแล้ว จะลำบากแค่ไหนก็ทำหมดแล้ว แต่การตามเงิน เจ้าหน้าที่ทุกคนตามเต็มความสามารถแล้วไม่ได้ ผมก็ต้องตามตลอด
จนในที่สุด โชคดีที่ผมยังมีแชตอยู่ในมือถือ แล้วก็แคปไว้หมดแล้ว ว่าไดอะล็อกอะไรบ้างที่เราคุยกัน แล้ววันที่เราเดตไลน์คืออีกปีหนึ่ง แล้วก็ข้ามไปอีกเดือนหนึ่ง มีหลักฐานหมด ผมไม่รู้ว่าเจ้านายจะรู้หรือเปล่า แต่ทุกครั้งเด็กจะบอกว่า เจ้านายยังไม่สะดวกที่จะเซ็น เจ้านายยังไม่เข้า
ซึ่งผมก็เคยถามว่ามันจะครึ่งปีแล้วนะครับ นี่คือเหตุผลที่ผมขออธิบาย เรื่องของการบอกว่า ถ้าใครสักคนหนึ่งบอกว่าเคยมีบุญคุณ ผมบอกเลยว่าการทำงานแล้วมีผู้สนับสนุน ถือเป็นสัญญาต่างตอบแทนครับ แล้วผมทำงานเต็มความสามารถไปแล้ว แล้วสิ่งที่เราไม่ได้ไปต่อด้วยกัน ผมเป็นคนเลือกเพราะว่าครั้งสุดท้าย ถึงแม้วันนั้นที่ยังไม่จ่าย อยู่ในไลน์ ยังมีการบอกให้ผมส่งสัญญา เอาเหมือนปีที่แล้วมาให้ แล้วขอชุดเพิ่มเป็น 40 แล้วจะรีบเซ็นด่วน ผมก็นิ่งเงียบ แล้วผมก็ไม่ติดต่อ ผมก็เป็นคนโทร.ไปบอกกับผู้ช่วย ว่าไม่แล้วครับ ไม่ไหว
อันนี้เรื่องจริงทั้งหมดครับ แต่ผมไม่รู้ว่าเจ้าของบริษัทจะทราบไหม ผมไม่รู้จริงๆ อาจจะเป็นความบกพร่องของเด็กก็ได้ ที่ทำงานล่าช้าตลอดเวลาแบบนี้ อันนี้ไม่ได้ออกมาทวงนะครับ ผมได้ครบแล้ว ไม่เกี่ยวกันนะ เราต้องเข้าใจว่าการอธิบาย เพื่อให้คนอย่าเข้าใจผิด ว่าผมเป็นคนเนรคุณ ว่าได้สปอนเซอร์มาจากใครแล้ว แล้วไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณ แล้วมาว่าเขา มันแยกกันนะครับ
การจะเป็นสปอนเซอร์หรือไม่ได้เป็นสปอนเซอร์ อยู่ที่สัญญาต่างตอบแทน อยู่ที่โพลีซีของทางบริษัทคู่ค้าและทางบริษัทผม บริษัทผมมีโพลีซีที่รับไม่ได้แล้ว กับการที่จะต้องยกหนี้ข้ามปี กลายเป็นว่าเวลาเราปิดบัญชีในปีนั้น ก็กลายเป็นปัญหาเล็กๆ ถึงแม้เงินมันจะเป็นไม่ได้เยอะ แต่อย่าลืมว่าซีเรียสกับการที่เราจะเข้าสู่มหาชน”
ไม่โกรธโดนอีกฝ่ายโพสต์เชิงว่าอกตัญญู
“ก็นี่ไง ผมอธิบายไปหมดแล้ว นี่คือความจริงนะครับืแล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย หลังจากวันนั้นที่เคลียร์มาหมดแล้วก็ไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้คุยครับ เพราะมันเป็นโพลีซีของที่บริษัท บอกให้ยุติบริษัทคู่ค้าบางประเภท เพื่อจะนำพาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ให้ปลอดภัย
แต่ไม่ใช่ว่าเขาผิดนะครับ มันแค่ดีเลย์ หรือตัวผู้บริหารอาจจะไม่ทราบก็ได้ ผมไม่รู้ แต่มันเป็นแบบนี้ตลอด แล้วมันเป็นนานมาก คนสุดท้ายที่ตามกันหมดแล้ว ไม่ได้ ผมต้องเป็นคนตาม แล้วเวลาตาม คนก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
ไม่ได้เจอกันมานานแล้วติดต่อไปก็มีผู้ใหญ่คนอื่นมารับแทนตลอด
“ไม่ได้เจอครับ ไม่ได้เจอตั้งแต่ที่ผมพยายามตามอยู่ ส่วนมากก็จะติดต่อกันไม่ได้ แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่มารับแมสเสจแทน”
ยันไม่ได้ออกมาพูดเพื่อซ้ำเติมในวันที่อีกฝ่ายล้ม ไม่ได้เกาะคนดัง เพราะถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้พูดถึง อยากให้ลองมานั่งดูสิ่งที่พูดไปในรายการ ว่ามันเหมาะสมจริงไหม เด็กดูเยอะแยะ เมื่อก่อนเคยสัมภาษณ์และสนับสนุนผลัดดันให้เต็มที่ แต่วันนี้คงต้องถอยออกมา
“ไม่นะครับ โอเค...เรื่องสปอนเซอร์จบแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมผมถึงโพสต์ เรื่องที่บอกว่าผมคอยวิจารณ์คนดังในแง่ลบ ต้องบอกจุดยืนของผมก่อนนะว่าผมเป็น Public Speaker ผมมีเพจไม่ใช่เฟซบุ๊ก สำหรับในการช่วยรณรงค์ เรื่องของสิทธิ์ความเสมอภาค และการไม่เอาเปรียบกัน และการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ผมทำมานาน ไม่ได้มาทำในเคสของใครคนหนึ่งคนใด เป็นเคสแรกหรือเคสที่สอง
แล้วเรื่องว่าต้องคุยเฉพาะเรื่องคนดังหรือเกาะคนดัง ผมไม่แน่ใจว่าแมสเสจคืออะไรแน่ๆ นะ เดี๋ยวจะพูดผิดไป ถ้าเกิดว่าเกาะคนดังจริงๆ ก็คงไม่ได้พูดถึงเขานะ ก็คงจะไปพูดถึงคนอื่น อันนี้พูดตรงๆ แต่ผมไม่ได้เกาะคนครับ ผมเกาะเรื่องมากกว่า
คนๆ หนึ่งผมเคยสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่า 5-6 episode เป็นทอล์กโชว์ยาวๆ ผมเคยสนับสนุนเต็มความสามารถผมเคยผลักดันทุกอย่าง ที่คนคนหนึ่งอยากจะได้ ไม่ว่าอยากได้คำนำหน้าอะไรก็แล้วแต่ คุณลองไปดูเทปย้อนหลังกันได้ ว่าผมเชียร์ออกนอกหน้าขนาดไหน ผมท้าทายขอร้องรัฐบาล ขอร้องใครขนาดไหน ที่มีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อน เป็นพันธมิตร เป็นลูกค้า ลองย้อนดู แล้วคุณจะรู้ว่าผมทำอะไรลงไป แล้วผมก็ชื่นชมขนาดไหน
นั่นคือสิ่งที่ผมมีมาตลอดเวลา แล้วผมก็ทำไปเยอะถึงขนาดผมเคยสนับสนุน ว่าคุณน่าจะเป็นคนแรกที่เป็นนักการเมือง ได้ จุดแรงบันดาลใจกัน เพราะผมเห็นว่าความเอาจริงเอาจัง ความเก่งในระดับหนึ่ง แต่เมื่อวันที่เขาสัมภาษณ์ แต่ผมมาเห็นทีหลัง ผมมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่ท็อปปิกหรือหัวข้อ ที่เราเคยอยากผลักดัน
มันเป็นการพูดเรื่องเรตที่ไม่ค่อยเหมาะสม แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้สิ่งที่เราเคยผลักดันเขาในการสัมภาษณ์เนี่ย มันไปไม่ถึงฝั่งฝันหรอก แล้วผมก็เป็นคนชัดเจน ผมบอกชัดเจนนะครับ ว่าผมเคยเต็มที่กับในประเด็นแบบนี้ไปแล้ว ผมก็ต้องถอยออกมา ว่าต่อไปนี้ผมไม่เกี่ยวแล้วนะ เพราะว่าสิ่งที่พูดไป ไม่ว่าด้วยความสนุกหรือความบันเทิง หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้เรารู้สึกว่า ตกใจเหมือนกัน เราชอบเขาในภาพลักษณ์เหมือนเดิม
แต่ว่าภาพใหม่ที่เป็นภาพเล่าเรื่องแนวนี้ มันลำบากใจ แล้วก็ไม่อยากให้ใช้พื้นที่สาธารณะแบบนี้ ในการทำแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าไม่ใช่คนๆ นี้ หรือจะเป็นคนๆ ไหน ผมว่ามาเล่าเรื่องแบบนี้ก็ต้องโดนทุกคน เรายกออกดีกว่าว่าเป็นใคร มันก็คงไม่เหมาะสม คุณลองเอาความคิดใจเย็นๆ ไปนั่งดู ว่าคุยอะไรออกไปบ้าง แล้วถามว่าเด็กดูเยอะ คนดูเยอะ แน่นอนครับเป็นไอดอลของหลายคน ถ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ใช้ชีวิตได้แบบนี้ ถ้าทุกคนทำบ้างมันจะอันตราย”
ไม่รู้สึกอะไรที่โดนโพสต์ไล่ให้เราไปแปลงเพศ เพราะตัวเองพูดถึงคนอื่นได้ คนอื่นก็พูดถึงตัวเองได้เหมือนกัน
“อ๋อ...ผมไม่เป็นไร เอาอย่างนี้นะ ขออนุญาตตอบอันนี้ เพราะฉะนั้นผมก็เลยออกมาโพสต์ ในฐานะที่หนึ่งผมเป็น Public Speaker สองผมเคยร่วมผลักดันในการให้สัมภาษณ์ในรายการเพชรรามา ดังนั้นผมก็ต้องถอยออกมา แล้วบอกว่าตอนนี้ก็หยุดแค่นี้นะ เพราะเป็นสิทธิ์ของผม แล้วผมก็คิดว่ามันไม่เหมาะจริงๆ
คือจำไว้ว่าทุกอย่างมันถูกเร็กคอร์ดไปชั่วชีวิต เด็กสักวันหนึ่งโตขึ้นไป แล้วมาดูแบบนี้ มันก็ไม่ค่อยเหมาะสม ก็เลยออกมาพูดตรงนี้ ถ้าผมออกมาพูดแล้ว ผมเป็นคนมีความเป็นประชาธิปไตยเต็มตัว ผมก็จะรับฟังในสิ่งที่คนอื่นฟีดแบ็กมาได้ครับ
ส่วนการที่เขาจะว่ากลับมา ให้ผมไปทำอะไรบ้าง อันนี้ถามว่าผมรู้สึกอะไรไหม ผมไม่ได้รู้สึกจริงๆ นะ เพราะตราบใดที่เราพูดถึงคนอื่นได้ คนอื่นก็พูดถึงเราได้ แต่ถามว่าทุกคนอ่านแล้วก็คงเข้าใจใช่ไหม ว่าคำพูดมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่มันหมายถึงความรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะว่าผม ศัพท์ที่มันแรงๆ ผมไม่ได้โกรธ”
ที่ผ่านมาสนับสนุนเขาด้วยใจไม่ใช่สคริปต์ ตอนนี้ดูเหมือนหลงทาง แล้วไม่มีใครกล้าขัด
“ใจครับ สนับสนุนด้วยใจ ผมรู้จักเขาตั้งแต่ภาพที่เห็น มีความรู้สึกว่า เอาอย่างนี้นะ พูดกันสั้นๆ เลย ว่าเขาเดินไปถูกทางแล้วที่ผ่านมา อย่าเลี้ยวไปทางอื่นเลย แล้วก็ไม่ว่าคนรอบตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ อาจจะเยินยอหรือไม่กล้าคัดค้าน ด้วยสไตล์ แต่ว่าผมเป็นคนค่อนข้างจะชัดเจนนะครับ ถ้าเห็นว่ามันชักหลงทาง เพราะอะไรเราไม่รู้ เราไม่โทษใครคนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นอีโมชั่นนอล เป็นการบิวต์ของรายการ หรือเป็นการตลาดอะไรใดๆ ที่ ณ ขณะนั้น แล้วเป็นรายการสดด้วย”
ไม่อยากให้มองว่าคนนี้ทำให้ภาพของสตรีข้ามเพศดูเป็นลบ
“ผมว่าคนเราต้องมองกันที่บุคคลมากกว่า อย่ามองเป็นกลุ่มเลยมันลำบากใจ ผมว่าบางทีอาจจะเป็นเหตุผลอะไรบางอย่างก็ได้ อย่าไปโทษเขาคนเดียว แต่หมายถึงว่าคนคนหนึ่งที่เคยรู้จักกันมาเป็น 10 ปี บ้านเขาสมัยก่อนนั้นผมก็เคยไปสัมภาษณ์ถึงในบ้าน ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ทุกอย่างต่างเอื้ออาทรได้
แต่ว่าวันนี้มันมีความรู้สึกว่า ถ้ามันเป็นแบบนี้ฟีดแบ็กมันก็อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นเราก็ชัดเจน ว่าขอถอยออกมา ถ้าเป็นแบบนี้เราไม่เกี่ยว เราจะไม่ยุ่ง เรื่องที่ผ่านๆ มานั้น คือโมเมนต์ที่มันเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุยกันเรื่องนี้ แล้วจะให้เรามานั่งสนับสนุนเรื่องเปลี่ยนคำนำหน้า หรือสนับสนุนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เราก็ขอหยุด”
ชี้สิ่งที่โพสต์คงหยุดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อยากให้ไตร่ตรอง
“ไม่ครับ อย่างมากก็ได้แค่ทำให้คนรู้สึกไตร่ตรอง แต่ว่าไตร่ตรองแล้วจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ คงไม่มีใครหยุดได้มั้งครับ เพราะว่าอันนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ว่าอย่าซีเรียสเลยครับ เห็นโพสต์อยู่เรื่อยๆ มีแท็กมาจริงๆ แล้วผมไม่ได้ตอบโต้เลยนะ ยกเว้นวันนี้ที่มา ผมก็รู้ตัวว่าต้องถูกถาม เอาเป็นว่าผมพูดสั้นๆ เลย ว่าการที่เราไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนซึ่งกันและกัน มันมีเหตุผลที่ชัดเจน แล้วเหตุผลยังอยู่ในมือถือ ไม่เคยล่วงละเมิด ไม่เคยกล่าวล่วงใคร
แต่ถามว่ารู้สึกอะไรไหม คือรู้สึกว่าทำงานไม่สะดวก เพราะว่าเป็นนโยบาย แต่ไม่ได้โกรธ จบแล้วก็คือจบ ไม่ได้ต่อว่า คนเราทุกคนอาจจะมีความผิดพลาดได้ เกิดจากใครก็ไม่รู้ อาจจะพนักงานไม่ยอมทำงานก็ได้ ส่วนเรื่องการเป็น Public Speaker ผมก็ทำหน้าที่ของผม ในเพจของผม ถ้าผมไม่เคยรู้จักเขา ก็อาจจะไตร่ตรองว่าจะพูดหรือไม่พูด แต่นี่คือเรารู้จักกันมานาน และเราเคยให้พื้นที่ในการที่เรียกร้องหลายสิ่ง”
สถานะเมื่อก่อนน่าจะเป็นเพื่อนแต่ตอนนี้คงไม่ใช่ ถ้าเจอกันก็คุยได้ แต่ถ้าจะมาพรีเซนต์ในทางนี้ก็ไม่ไหว
“ในสมัยก่อนก็น่าจะเป็นเพื่อนมั้งครับ (ตอนนี้ล่ะ?) อ๋อ...ไม่เป็นไรครับ เอาจริงๆ เราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดกับว่าเจอกันแล้วจะไม่คุยกันนะครับ ถ้าเจอกันก็คุยกันได้ แต่เราไม่คุยเรื่องงานไง ผมไม่สามารถสนับสนุนแนวทางแบบนี้ได้ ผมต้องบอกจุดยืนของผมอย่างชัดเจน ถ้าจะมาธีมแบบนี้ ผมก็ทำไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้ามาธีมแบบเดิม เป็นคนทำงาน ผมก็ยินดีจะทำให้ แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนตัวเองมาพรีเซนต์แบบนี้แล้ว โดยเฉพาะภาพต่างๆ ผมก็ไม่อยากให้มันเยอะขนาดนั้น”
หลังจากนี้คงไม่เขียนถึงคนนี้อีกแล้ว
“ไม่ได้เขียนครับ (ตัดไปเลย?) ครับๆ”
เป็นเพื่อนร่วมโลกกันได้ไม่มีปัญหา บอกตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปสอนใคร แต่อยากฝากไว้ให้ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรจีรังในทุกสิ่งทุกอย่าง
“ได้ๆ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าไม่ได้ร่วมงาน แต่เจอกันผมก็ยังทักเขาได้ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็ฝากถึงเขาด้วยละกัน ฝากให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด แล้วก็ไม่มีอะไรจีรังในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปสอนใคร อย่างที่บอกว่าให้ใจเย็นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะค่อยๆ ผ่านไป วันหนึ่งไม่แน่นะครับ อาจจะต้องมาขอบคุณก็ได้ ว่ามันก็สมควรนะ เราอย่าลืมสิว่าเด็กตัวเล็กๆ สองคน ที่อยู่เคียงข้าง สักวันเขาก็โต แล้วเขาจะดูอะไรล่ะครับ”
คงไม่ร่วมงานกันอีก ในตอนนี้ขอหยุดพักก่อน เปลี่ยนการนำเสนอได้แล้วค่อยมาพิจารณากันอีกที
“ณ ตอนนี้ขอหยุดก่อนครับ (รอให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมดีๆก่อน?) อย่าเรียกว่าพฤติกรรมดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนลักษณะเรื่องในการนำเสนอ แล้วเราค่อยมาพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่า ณ ขณะนี้เอาเป็นว่าพักสักครู่ (ยิ้ม)”