ทีเอ็งไม่ว่า ทีข้าอย่าโวย! “แอนดรูว์” ไม่พลาดจัดหนัก “ปวิน” เสรีภาพไม่ได้หมายความว่า ละเมิดใครก็ได้ หลังแฉ “โบว์ ณัฏฐา” แรง ปล่อย “คลิปโป๊” ชงเองเล่นเอง ย้อนแผลเก่า “ปวิน-โบว์..ปวิน-แอนดรูว์” แค้นฝังหุ่นของจริง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 ก.พ. 64) ทวิตเตอร์ Andrew MacGregor Marshall @zenjournalist ของ นายแอนดรูว์ แมคเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตนักข่าวรอยเตอร์ ชาวสก็อต ซึ่งเคลื่อนไหวในโซเชียลโจมตีประเทศไทย โดยเฉพาะสถาบันฯมาตลอด จนถูกแจ้งความดำเนินคดีในประเทศไทยหลายคดี ทวีตข้อความ ระบุว่า
“ผมรู้สึกผิดหวังที่เห็น ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ละเมิด คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา อีกครั้งด้วยการเผยแพร่ภาพที่ถูกแอบถ่ายโดยปราศจากความยินยอมของเธอ และกล่าวหาเธอด้วยความเท็จ
ไม่อาจมีข้อแก้ตัวใดสำหรับพฤติกรรมแบบนี้ได้ มันคือการกลั่นแกล้งรังแกและเป็นการละเมิด และมหาวิทยาลัยนานาชาติทั้งหมดที่ปวินต้องการร่วมงานด้วยควรจะตระหนักถึงเรื่องนี้ หากเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใดๆ ของคุณโบว์ หรือไม่ชอบเธอ นั่นเป็นเรื่องของเขา
แต่การใส่ความและภาพที่เขานำไปเผยแพร่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และผมไม่เห็นว่า มหาวิทยาลัย หรือองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือใดๆ จะพึงร่วมงานกับเขาได้อีก
เป็นที่ชัดเจนว่า เขาจะโจมตีและละเมิดผมอีกครั้งเช่นกัน หลังจากที่ผมเขียนข้อความนี้ แต่ผมไม่ใส่ใจ เขาเคยละเมิดผมและครอบครัวของผมมาแล้ว พวกเราเคยชินกับมันเสียแล้ว
เสรีภาพในการพูดไม่ได้หมายความว่า ปวินจะสามารถกลั่นแกล้งละเมิดใครได้อย่างลอยนวล โดยไม่ต้องรับโทษและไม่ได้รับผลใดๆ จากการกระทำ เขาได้กลายเป็นคนที่กระทำการละเมิดและไม่ซื่อสัตย์เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่เขากำลังต่อสู้ด้วย มันควรจะจบได้แล้ว”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 64 เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และผู้ลี้ภัยในญี่ปุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า
“อีโบว์ ณัฏฐา นี่กล้าชี้หน้าคนอื่นนะว่าทำ Fake News ทั้งๆ ที่ตัวเอง Fake News เรื่องคลิปโป๊ตัวเอง ที่ถ่ายเอง ปล่อยเอง แล้วมั่นหน้ามาถามหาความซื่อสัตย์สุจริตจากคนอื่น ก่อนจะด่าใคร หยิบกระจกขึ้นดูเงาหัวตัวเองนิดนึง #ชั่วบริสุทธิ์ #ขยะเปียก #เจ้าแม่ FakeNews #กระหายแสง”
อย่างไรก็ตาม ถ้าใครได้ติดตามโลกโซเชียลอย่างใกล้ชิด จะพบว่า ก่อนหน้านี้ เรื่องดรามา ระหว่าง “ปวิน-โบว์” ถือว่า เคยเดือดโซเชียลมาแล้ว
จนเพจเฟซบุ๊ก Thailand Vision โพสต์ สรุปดรามาเอาไว้เมื่อ 30 ส.ค. 63 ระบุว่า หลังจาก นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสประจำข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ ได้โพสต์โจมตี นายปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้ นายปวิน แอดมิน และสมาชิกกลุ่ม “รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง พากันเข้ามาตอบโต้นายประวิตร อย่างหนัก
ทางด้าน “โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา” นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ก็ได้เข้ามาสนับสนุนการเปิดโปงของ นายประวิตร โรจนพฤกษ์ โดยโพสต์แสดงความเห็นว่า
“พี่ประวิตร หน่วยกล้าตายจริงๆ เขียนในสิ่งที่ใครๆ ก็รู้แต่ไม่อยากพูด”
เท่านั้นแหละ นายปวิน ก็เข้าไปโพสต์ตอบโต้ โบว์ ณัฏฐา ทันที
“Bow Nuttaa Mahattana แหกตาอ่านที่ดิชั้นอธิบายด้วย อีดxx ทุกวันนี้กูก็ทำด้วยความตั้งใจจริง เหมือนที่มึงคิดว่ามึงก็ทำด้วยความตั้งใจ เสือกจะมาจิกกัดหาเหี้xอะไร อิจฉาริษยาเป็นที่หนึ่ง เห็นดิชั้นทำกลุ่มที่มีสมาชิกเกินล้านก็มานั่งจิกกัด อีฉิบxาย”
โบว์ ณัฏฐา ได้ตอบไปว่า
“กล่าวโดยทั่วไป การกล่าวหาเลื่อนลอย ดูหมิ่นเหยียดหยามจนล้ำเส้นทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งหลาย มันทำให้การหันหน้าพูดคุยเพื่อการปฏิรูปอย่างแท้จริงเป็นไปได้ยาก เส้นแบ่งระหว่างการพูดความจริงและชักชวนให้ร่วมกันหาทางออก กับการสื่อสารด้วยท่าทีที่เป็นการบั่นทอนความเป็นไปได้ในการสร้าง dialogue ไม่ได้อยากให้การปฏิรูปเกิดขึ้นจริงนั้น มีอยู่
และเมื่อใครมีพฤติกรรมแบบหลังแต่ปากอ้างว่า ต้องการการปฏิรูป เราถือว่า เขาไม่สุจริต
เพราะพฤติกรรมแบบนั้น คือสิ่งที่ทำให้การปฏิรูปที่ประชาชนต้องการเป็นไปได้ยาก หรือแทบปิดประตูเลย”
นายปวิน จึงตอบโต้กลับไปว่า
“ตอแหล ประดิษฐ์คำพูดสวยๆ สิ่งที่ดิชั้นทำ มึxไม่มีความสามารถทำได้ครึ่งเดียวของดิชั้น วันๆ นั่งแต่ถากถางพวกเดียวกันเอง คิดว่าตัวเองดีเลิศ ตลกฉิบหาย ถ้าดิชั้นไม่แน่จริง ไม่พิสูจน์ให้คนรู้ว่าสู้แค่ไหน กูไม่มีคนตามเป็นล้าน อีดอx”
สำหรับโพสต์ ของนายประวิตร ที่วิพากษ์วิจารณ์นายปวิน ช่วงหนึ่งระบุว่า
“...บางที การรังสรรค์วัฒนธรรมประชาธิปไตย สร้างสังคมที่สมาทานเสรีภาพการแสดงออกอย่างแท้จริง และการโต้เถียง ฟังความเห็นต่างอย่างตั้งใจด้วยขันตินั้น ยากยิ่งกว่าการต่อต้านหรือวิพากษ์ฝ่ายที่ตนตราหน้าว่าเป็นเผด็จการผูกขาดความจริง... เพราะบางที ความเป็นเผด็จการ ความไร้ขันติและใจอันไม่เปิดกว้างในตัวเรา มันหยั่งรากลึกเกินกว่าที่เราจะรู้ตัวหรือยอมรับ แม้ในฝั่งที่เรียกตนว่า ฝ่ายประชาธิปไตย
การต้านอำนาจนิยมรัฐนั้นว่ายากแล้ว การขัดขืนต้านอำนาจนิยมในตัวเราและฝั่งประชาธิปไตยนั้นยากกว่า” (ไทยโพสต์)
ด้าน “ปวิน” นับจากวันนั้น ถือว่าแค้นฝังหุ่นกับ “โบว์” อย่างชัดเจน เพราะไม่ว่าโบว์จะทำอะไร “ปวิน” ต้องเข้ามาแสดงความเห็น และขัดแย้งตลอด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ระบุว่า
“เรื่องพระรูปหนึ่งที่โดน 112 จริงๆ ก็รู้จักในเฟซบุ๊ก ดิชั้นอยากช่วยทุกคนที่โดน 112 แล้วไปถามผู้ลี้ภัยเลย เกือบทุกคน ดิชั้นเขียนจดหมายรับรองสถานะให้ทันทีไม่บ่ายเบี่ยง เพราะเราเองก็เป็นผู้ลี้ภัยเหมือนกัน จึงเข้าใจ แต่ในกรณีนี้ รู้สึกเหมือนมันไม่ใช่ละ คือ เริ่มจากการบอกว่า จะลี้ภัยไปอยู่ประเทศยุโรป แล้วไม่ใช่แค่ลี้ภัย แต่จะไปตั้งศาสนสถาน หรือวัดอะไรก็ตามที่ต่างแดน เห้ย นี่มันผิดวัตถุประสงค์ของการเป็นผู้ลี้ภัยหรือเปล่า การลี้ภัยชื่อมันบอกอยู่แล้วว่า ต้องการลี้ภัยจากความอยุติธรรม แต่การไปสร้างวัดอะไรก็ตามมันเป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้น งงที่มีการขอบริจาคเงินเพื่ออ้างการสร้างวัดด้วย
...การที่พระรูปนี่ติดต่อโบ๋ บรรลือฤทธิ์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ คุณนายหิวแสงพูดกลางรายการ Al Jazeera ว่า 112 ต้องมีไว้ปกป้องกษัตริย์ คืองงว่า คนที่ต้องการคงไว้ซึ่ง 112 แต่จะมาช่วยผู้ต้องหา 112 นอกจากนี้ การลี้ภัยไม่มีใครทำแบบกระโตกกระตาก นอกจากจะเป็นกรณีไฟเย็นที่มีการตามฆ่ากัน เพราะนั่นมันเป็นหาทางให้รัฐกลั่นแกล้งเราได้ เพราะรัฐปลายทางอาจจะไม่อยากรับเราด้วยซ้ำ เพราะเป็นภาระ อย่าคิดว่าประเทศยุโรปจะใจดีรับผู้ลี้ภัยทุกคน อ้อ สุดท้าย ขอเรี่ยไรเงินช่วยคนอื่นแต่เข้าบัญชีตัวเอง ไม่ค่ะ ไม่มีความโปร่งใส คนเราถ้าแสงยังหิว อย่างอื่นก็หิวได้ค่ะ” (สยามรัฐ)
ส่วนกับ “แอนดรูว์” นายปวิน โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“แอนดรูว์ มาร์แชล โกหกเรื่องที่ตัวเองถูกสะกดรอยวันที่ 3 สิงหาคม คนอย่างแอนดรูว์ ถ้าคิดว่า ถูกสะกดรอย เค้าต้องรีบเขียนแจ้งบนเฟซบุ๊ก เค้าไม่ใช่คนดองเรื่อง อย่างรีบเขียนเรื่องการตายของจุมพลทั้งๆ ที่เค้าไม่ตาย นี่เล่าเป็นตุเป็นตะว่า มีคนตาม 2-3 วัน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย และดิชั้นเชื่อว่า ทางการไทยไม่คิดทำอะไรอุกอาจแบบนั้น เพราะเค้าไม่ใช่คนไทย
ส่วนที่บอกว่า มีคนส่งกล่องมาที่หน้าประตู ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บอกว่า เป็นกล่องที่ส่งมาถึงเค้า เราไม่รู้ว่า อะไรอยู่ในกล่อง ไม่มีรูปที่พิสูจน์ว่า มีคนมาวางกล่องหน้าบ้าน เป็นไปได้หรอที่แอนดูว์ไม่ติดกล้องหน้าบ้านถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ
การสันนิษฐานของดิชั้นมี 2 ข้อ ข้อแรก ดิชั้นรู้นิสัยแอนดรูว์ เพราะคบกับมานานก่อนที่จะเลิกคบ เพราะเป็นคน self-centred นี่คงเห็นว่า ทุกคนโดนขู่หมดแล้ว ยกเว้นตัวเอง กลัวตกขบวนรถไฟ กลัวว่า ตัวเองจะหมดความสำคัญ โทษนะคะ เค้าเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ คนรอบข้างและเพื่อนนักข่าวรู้นิสัยกันหมด จึงหนีออกห่าง ทะเลาะกับรอยเตอร์ จึงต้องลาออก เพื่อนนักข่าวก็ไม่เอา เพราะเค้ารำคาญที่มันชอบไปอวดว่า มันช่วยกู้ประเทศไทยจากการเป็นเผด็จการ การสร้างเรื่องแบบนี้ ไม่ดีต่อการต่อสู้ของคนที่เหลือที่อยู่ต่างประเทศ
ส่วนข้อสองนั้น ดิชั้นคอนเฟิร์มว่า แอนดรูว์ เป็นโรค alcoholism ติดเหล้าจนเสียงาน ดิชั้นเป็นคนเขียนจดหมายรับรองให้เค้าเข้าทำงานที่ Green Peace ทำได้ไม่นานก็ถูกไล่ออก เพราะไปเมาที่ทำงาน ทำดิชั้นเสียชื่อเสียงเพราะดิชั้นเป็นคนเขียนจดหมายรับรอง การเจอกันที่อังกฤษหลายครั้งก็ต้องยกเลิก เพราะแอนดรูว์เมา ไม่สามารถมาตามนัดได้ ปล่อยให้คนที่เหลือรอเก้อ ดิชั้นคิดว่า ไอ้การสงสัยว่า มีคนมายืนหน้าบ้าน น่าจะมาจากอาการเมาค้างเหมือนเดิมและเห็นภาพหลอน เรื่องนี้ใครที่เป็นเพื่อนแอนดรูว์จะรู้ดี พอเมาแล้วก็จะเที่ยวไล่ด่าคนบนเฟซบุ๊ค ดิชั้นก็ไม่รอด ถูกเค้ารังควาน เขียนอีเมลและส่ง WhatsApp มารังควานบ่อยๆ เรื่องผิดใจกันมาจากเรื่องนิดเดียว คือ ดิชั้นไม่ชวนนางไปงานสัมมนาที่ Stanford เมื่อปี 2017 พอไม่ได้รับเชิญก็โกรธ โทรไปวุ่นวาย/ก่อความไม่สงบที่มหาลัยระหว่างการสัมมนา จนผู้ร่วมสัมมนาอีกประมาณ 10 คน รำคาญ จากนั้นเค้าก็ด่าผู้ร่วมสัมมนาและดิชั้นเสียๆ หายๆ เอาเราไปประจานต่างๆ นานา จนดิชั้นตัดใจเลิกคบมันตั้งแต่บัดนั้น”
รวมทั้ง หากย้อนไปกว่านั้น ก็จะพบแผลเก่าที่เจ็บแสบยิ่งกว่า กล่าวคือ เมื่อประมาณเดือน ก.ค. 2562 ในกลุ่มผู้ลี้ภัยต่างแดน มีการเสนอข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของ นายปวิน
ต่อมา นายจอม เพชรประดับ สื่ออิสระในสหรัฐฯ ได้แจ้งเบาะแสของปวินผ่านเฟซบุ๊กหลังจากสืบหาข้อมูลจากคนใกล้ชิด สนิทสนม ทั้งในและต่างประเทศ ทุกคนต่างก็อ้างข้อมูลจากเฟซบุ๊กของ Andrew MacGregor Marshall ที่บอกว่า อาจารย์ปวิน สบายดี
นั่นหมายความว่า “ปวิน” สร้างเรื่อง และที่หายตัวไปนั้น ก็แอบไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม
หลังจากนั้นไม่นาน ปวิน เดินทางไปโผล่ที่สหรัฐฯ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า “ตอนประมาณ 04.45 น. ของวันจันทร์ที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมานี้ มีคนร้ายใส่ชุดดำสวมหน้ากาก ได้บุกเข้าไปในห้องนอนที่อพาร์ตเมนต์ ในกรุงโตเกียว และเปิดผ้าห่มฉีดสเปรย์สารเคมีบางอย่างใส่ แล้ววิ่งหนีไป ต่อจากนั้นได้แจ้งให้ตำรวจญี่ปุ่นได้ทราบและดำเนินการสอบสวนต่อไป”
ฝ่าย แอนดรูว์ ก็แสดงท่าทีที่ไม่เชื่อข้อมูลของปวิน ทำให้เขาโกรธแอนดรูว์ มาก
นี่คือ แค้นฝังหุ่น ที่ “ปวิน” มักหยิบยกมาพูดเสนอ ที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตี “แอนดรูว์” ให้ครบรส
แน่นอน, ประเด็นที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่ง จากการนำมาแฉกันเอง และกลายเป็นประเด็นทะเลาะเบาะแว้งในหมู่กลุ่มคนที่ต้องการ “ล้มเจ้า” ก็คือ การสร้างเรื่องเท็จ หรือ เรื่องบิดเบือนความจริง เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองต่อสู้บรรลุเป้าหมาย
นั่นก็เท่ากับว่า คนที่ได้รับสื่อ หรือรับการสื่อสารจากพวกเขา จะต้องเริ่มจากการใช้วิจารณญาณอย่างมาก ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ หรือ บิดเบือนจนไม่รู้จริงหรือเท็จ
ลองคิดดูว่า สมควรเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาหรือไม่ หรือยอมพลีทุกสิ่งอย่างให้กับ คำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือได้หรือไม่ แล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หากสิ่งที่เราเชื่อมั่นไม่เป็นความจริง
ทั้งหมดทำให้เห็นว่า แม้แต่ฝ่ายเดียวกัน ก็หยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็น และกลายเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในหมู่เดียวกัน แล้วคนที่รับได้ ยังจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ ก็ต้องคิดดูให้ดีเช่นกัน!!!