คิดต่างอยู่ไม่ได้! ประกาศิต “เจี๊ยบ คอนถม” ระบุสาวกเรียกร้องขับ 2 ส.ส.สวนมติพรรค “วัน อยู่บำรุง” อัด “ปวิน” เละ กลางไลฟ์สด เหตุเอาทัวร์ลง ถอยให้แล้ว ยังตามราวี “โพล” ชี้ ปชช.ส่วนใหญ่เชื่อต่างชาติแทรกแซงยกเลิก ม.112
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 ม.ค. 64) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ระบุว่า
“จุดยืนของพรรคคือต้องแก้ไข #มาตรา112
ได้เวลาคัดกรองคนที่ไม่ใช่
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค #ก้าวไกล”
ก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้เรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารพรรค ขับ นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกจากพรรค หลังทั้งสองประกาศไม่ลงชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณี นายไชยอมร แก้ววิมลพันธุ์ หรือ แอมมี่ บอททอมบลูส์ แนวร่วมม็อบราษฎร โพสต์ภาพตนเองแต่งกายด้วยชุดสูท นั่งข้างรถกระบะ ใส่ชุดสูท สวมแว่นตา สะพายกล้อง มือถือสมุดอยู่ข้างรถกระบะ จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงทางโซเชียล ทำให้คนไทยรับไม่ได้ เพราะเห็นว่ามีเจตนาล้อเลียนเบื้องสูงหรือไม่
ต่อมา นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นว่า “วิธีเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกคุณคือการแต่งตัวล้อเลียนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินกันเหรอครับ #ติดคุกอย่ามาร้องก็แล้วกัน”
ปรากฏว่า มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะมีฝ่ายแนวร่วมม็อบเข้าไปโพสต์ด่าทอนายวันอย่างดุเดือด ขณะที่แฟนคลับ “ใจถึงพึ่งได้” ของนายวัน ได้ออกมาปกป้องนายวัน จนร้อนระอุไปทั้งโซเซียล ทำให้ นายวัน ตัดสินใจลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งในเวลาต่อมา แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่อง
ทำให้เจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ว่า “วันนี้ทัวร์ลงทั้งวันเลย 5555 ปล.เห็นต่างแต่อย่าแตกแยกนะครับ”
ล่าสุด นายวัน ไลฟ์สดชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้น ว่า หลังจากตนโพสต์ประเด็นดังกล่าวออกไป ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์ด่าตนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ “คนต่างแดน” เอาทัวร์มาลงในเพจตน ด่าสาดเสียเทเสีย อยากถามว่า นี่คือประชาธิปไตยหรือ การเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไปล้อเลียนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มันใช่หรือไม่ ที่ตนเตือนเพราะกลัวว่าบางคนอาจจะต้องติดคุกติดตาราง
“คนต่างแดนเอาทัวร์มาลงด่า มาถล่มผมยิ่งกว่าพายุบุแคมถล่มอ่าวไทยแหลมตะลุมพุกอีก แต่แฟนคลับเขารักผม เขาก็เข้ามาเถียงแทน จนมีการด่าทอท้าทายกันไปมา กลายเป็นแฟนคลับฝ่ายผมทะเลาะกับฝ่ายคนของคุณ มีการท้าตีท้าต่อย นัดจะทำร้ายร่างกายกัน ผมก็บอกว่าอย่าทำ ไม่อยากให้บ้านเมืองบอบช้ำไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจลบโพสต์เพื่อไม่ให้คนทะเลาะกัน ก็เท่านี้เอง ผมไม่ได้ลบโพสต์เพราะกลัวอะไร”
นายวัน ยังกล่าวว่า สิ่งที่ตนอยากจะบอก ก็คือ พวกคุณเห็นต่างจากคนอื่น เห็นต่างจากรัฐบาล แล้วคุณก็เรียกร้องให้คนอื่นยอมรับความเห็นต่างของพวกคุณ ส่วนตนก็เห็นต่างจากความคิดของพวกคุณ ก็เป็นสิทธิของตน แต่พอตนเห็นต่างจากความคิดเห็นของพวกคุณ ก็มาด่า เรียกทัวร์มาลง ด่าเสียหายต่างๆ นานา มีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ซึ่งให้ทนายความเก็บหลักฐานไว้หมดแล้ว ถ้าจะฟ้องก็ต้องติดคุกหลายคน เดือดร้อนแน่นอน แต่ตนไม่อยากจะทำ แต่การที่ตนไม่เห็นด้วยกับพวกคุณแล้วมาด่าแบบนี้ เขาเรียกประชาธิปไตยหรือ
“ฟังชัดๆ จากปาก ผมชื่อวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ ไม่ชอบรัฐบาลประยุทธ์ อยากแก้ไขรัฐธรรม อยากเลือกตั้งใหม่ และอยากลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ผมเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครไม่รักสถาบันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่ผมรักสถาบันก็เป็นสิทธิของผม การที่คุณเข้ามาด่าผมถือว่าไม่ถูกต้อง ผมลบโพสต์ เพราะไม่อยากให้ทะเลาะกัน กูยอมถอยถึงขนาดนี้แล้ว พวกมึงยังจะเอาอะไรกับกูอีกว่ะ”
และขอย้ำว่า การที่ตนยอมถอยขนาดนี้แล้ว ยังจะตามมารังควานในโพสต์อื่นๆ อีก แบบนี้ไม่ยุติธรรม ขอเตือนว่า เบาได้ก็เบา อย่าไปหลอกเด็กให้ออกมาอยู่แนวหน้า จนเด็กต้องติดคุกติดตะรางจนเสียอนาคต บางคนบอกว่า เราเลือกไม่ได้ เพราะเด็กมีความรู้มีความคิดของตัวเอง ตนไม่รู้หรอกว่า เด็กถูกหลอกหรือถูกล้างสมอง ขอเตือนไว้ด้วยความหวังดี ส่วนใครจะเลิกเป็นแฟนคลับก็ตามสะดวก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย นายวัน ได้พูดถึง นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และเป็นผู้ลี้ภัยในญี่ปุ่น ที่ได้เข้ามาดูการไลฟ์สดด้วยว่า หลังจากนายปวินเอาทัวร์มาลง ตนจึงได้โทร.ไปหานายปวิน แต่นายปวินไม่ยอมรับสาย ตนอยากรู้ว่าไปทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงได้พาพวกมาด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรงขนาดนี้
“ผมแค่อยากคุยกับคุณปวิน ว่า มีปัญหาอะไรกับผม คุณเห็นต่างจากคนอื่นก็เรื่องของคุณ ผมเห็นต่างจากเรื่องของคุณ ก็เรื่องของผม แล้วไม่ต้องกลัวจะไม่มีการเหยียดเพศ เพราะเพื่อนข้ามเพศของผมเยอะแยะ ที่ผมโทร.ไปก็เพื่ออยากรู้เท่านั้นเองว่า มาด่ากันทำไม” นายวัน กล่าว (จากสยามรัฐออนไลน์)
ขณะเดียวกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์ข้อความถึงกรณีการเคลื่อนไหวกดดันให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หัวข้อ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
โดยระบุว่า “ความเคลื่อนไหวยกเลิกมาตรา 112 ของกลุ่มและพรรคการเมือง กลายเป็นพื้นฐานสำหรับผู้นำต่างประเทศบางประเทศ และสื่อต่างประเทศที่จะกดดันประเทศไทยให้ยกเลิกมาตรานี้
พื้นฐานความคิดคือ การมองว่า มาตรา 112 ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งๆ ที่มาตรานี้ป้องกันการดูหมิ่นและการแสดงการอาฆาตมาดร้ายประมุขของประเทศ ไม่ได้ละเมิดเสรีภาพใคร
พวกที่ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน เขาจะรู้บ้างไหมว่าต่างชาติเขามีเป้าหมายอะไรในการร่วมกันกดดันให้ประเทศไทยยกเลิกมาตรา 112 มันเกี่ยวกับการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่
ลองคิดต่อไปอีกนิดว่า ทำไมต่างชาติจึงต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาจะได้อะไร และประเทศไทยจะสูญเสียอะไร ทำไมคนไทยจึงทำตัวเป็นแนวร่วมของต่างชาติ
เป็นคนไทยทำไมไม่รักประเทศไทย ทำไมไม่กตัญญูต่อแผ่นดิน”
นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง มาตรา 112 กับ นักวิชาการ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,677 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 99.7 ระบุ ทุกฝ่ายควรหยุดทำอะไรที่กระทบต่อสถาบันหลักของชาติ และหยุดความพยายามแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 เชื่อว่า มีขบวนการ องค์กรต่างชาติ อยู่เบื้องหลัง การเคลื่อนไหวของนักวิชาการ นักการเมืองบางคน พยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 รู้สึกสูญเสียความภูมิใจ เมื่อนักวิชาการ พยายามจะก้าวล่วงละเมิด คุกคามสถาบันหลักของชาติ...
แน่นอน, สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทย และประเทศไทย อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ความขัดแย้งแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย และกรณีต่างชาติ ประเทศมหาอำนาจต้องการแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยเฉพาะประเด็นข้ออ้างเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน เพื่อผลประโยชน์แอบแฝง
เรื่องแรก เป็นที่ชัดเจนแล้วเวลานี้ ว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างสูง คือ ความคิดเห็นที่แตกต่างในเรื่อง สถาบันฯ ระหว่างเครือข่ายขบวนการ “ล้มเจ้า” และม็อบราษฎร 2563 กับประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ
และนับวันจะเห็นตัวตนอย่างชัดเจนมากขึ้น ว่าใครหนุนหลังม็อบเด็ก ใครช่วยปลุกปั่นยุยงส่งเสริม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่สำคัญ กลุ่มขบวนการ “ล้มเจ้า” ยังใช้ข้ออ้างว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไปรุกรานคนที่เห็นต่าง หรือที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” จนทำให้หลายคนเริ่มไม่ทน และเริ่มเห็นความต่ำตมเสื่อมทรามมากขึ้น และนี่ก็คือ ความขัดแย้งที่จะบานปลายในที่สุด เพราะไม่มีใครเชื่อถือใครอีกแล้ว
เรื่องที่สอง แม้ว่ายังไม่อาจยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ต่างชาติ และประเทศมหาอำนาจ ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยเฉพาะการต่อสู้ทางการเมือง กรณียกเลิก ม.112 แต่ข้อมูลเชิงลึกที่นักวิชาการบางคนได้มา ก็ชี้ไปในทางเดียวกัน ว่า เป็นเช่นนั้น
เหนืออื่นใด นี่คือ สัญญาณอันตรายที่ไม่ช้าก็เร็ว ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้าอย่างไม่มีทางหลีกพ้น ทุกคนรู้อยู่แล้ว แล้วจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้หรือ หาคำตอบกันเอาเอง