“ดร.นิว” ชี้ บทบาทพระมหากษัตริย์ในโลก ปชต. “นอร์เวย์” ตัวอย่างที่ดี “หมอวรงค์” ซัด พวกขอแก้ ม.112 คือ กลุ่มคนคิดล้มเจ้า “ปิยบุตร” ตั้งเป้ารณรงค์ 3 เรื่อง ระบุชัดปฏิรูปสถาบันฯเป็นจริง ต้องรอคนไทยเห็นด้วย 70-80 เปอร์เซ็นต์
น่าสนใจเป็นอย่างยาง วันนี้ (24 ม.ค. 64) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“บทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎรไม่เคยให้พระมหากษัตริย์ไทยมีมาตั้งแต่ต้น
ประเทศนอร์เวย์ที่ได้ชื่อว่า มีความเป็นประชาธิปไตยเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการมีบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
ทุกสัปดาห์นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรายงานการทำงาน และรับฟังคำปรึกษาแนะนำจากพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ ตลอดจนการออกกฎหมายและการตัดสินใจใดๆ ในที่ประชุมแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากพระมหากษัตริย์และการลงนามร่วมจากนายกรัฐมนตรี โดยมีองค์รัชทายาทเป็นผู้สังเกตการณ์ และจัดขึ้นเป็นประจำในทุกวันศุกร์ เวลา 11.00 น. ณ พระบรมมหาราชวัง
แม้พระมหากษัตริย์ได้สละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมให้ประชาชนปกครองร่วมกัน แต่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยยังทรงไว้ซึ่งบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ตลอดจนพระราชอำนาจในการตรวจทานและถ่วงดุลการใช้อำนาจอธิปไตยในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่อาณาประชาราษฎร
กว่า 88 ปีที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของเผด็จการหลากหลายรูปแบบและความแตกแยก เป็นเพราะคณะราษฎรไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง แต่กลับสร้างลัทธิรัฐธรรมนูญหลอกลวงประชาชน ไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน อีกทั้งยังอยู่เบื้องหลังการลิดรอนบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไปเสียทั้งหมด
ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะสามารถสร้างได้ ก็ต่อเมื่อฟื้นฟูบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับมาเป็นกำลังของประชาชนในการสร้างประชาธิปไตยเฉกเช่นในอดีต ที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้วางรากฐานของชาติและระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการบิดเบือนให้ร้ายทั้งบนดินและใต้ดินอย่างสกปรก”
อ้างอิง...
https://www.royalcourt.no/artikkel.html?tid=30068
https://www.eiu.com/topic/democracy-index
https://www.britannica.com/topic/constitutional-monarchy
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานยุทธศาสตร์กลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความระบุว่า
“ผมได้อ่านแนวคิดของนายปิยบุตร ที่คิดจะแก้ไขมาตรา 112 แล้วอดไม่ได้ที่จะต้องพูด โดยเฉพาะคำขู่ที่บอกว่า จะเกิด anarchy revolution นั่นคือ สังคมเกิดอนาธิปไตย
ผมบอกได้เลยว่า แค่นี้คุณก็ตีโจทย์ผิด คุณตีโจทย์เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นปัญหา คุณตีโจทย์ผิดทันที เพราะอำนาจในการบริหารเพื่อความอยู่ดีกินดี และทุกๆ อย่างอยู่ที่รัฐบาล ปัญหาทุกอย่างมันอยู่ที่ความมีคุณธรรมของนักการเมือง
ปัญหาที่ผ่านมาของประเทศ เกิดจากนักการเมืองทุจริต ใช้อำนาจไม่ชอบ ไม่มีคุณธรรม แทนที่คุณคิดจะปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ อยู่ๆคุณก็โผล่มาเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มาเป็นคู่ขัดแย้ง โดยไม่สนใจความชั่วร้ายของนักการเมือง ที่สร้างปัญหาให้ประเทศ
โชคดีที่ประชาชนส่วนใหญ่เขารู้ทัน จึงจับความได้ว่า แม้พวกคุณพยายามที่จะเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน แต่ประชาชนเขาไม่เอาด้วยกับคุณ กลายเป็นวันนี้พวกคุณกำลังเป็นคู่ขัดแย้งกับสถาบันเสียเอง และประชาชนส่วนใหญ่เขาทนไม่ได้ จึงประกาศเป็นคู่ขัดแย้งกับพวกคุณด้วย
การที่พวกคุณพยายามที่จะแก้ไขมาตรา 112 เพื่อลดพระเกียรติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ใครๆ ก็มองออก เพราะมาตรา 112 คือกฎหมายที่ยืนยันถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าปล่อยให้พวกคุณทำตามที่ต้องการ วันหนึ่งสถาบันก็ถูกทำลาย แล้วก็คงจะมีนักการเมืองเลวๆ ขึ้นมาสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ คุณคิดหรือว่าบ้านเมืองจะสงบสุข
อยากบอกพวกคุณนะครับ คุณยังไม่เข้าใจวิถี และบริบทของสังคมไทยอย่างแท้จริง จึงคิดเห่อเดินตามก้นฝรั่งตะวันตก คุณน่าจะคิดได้นะ เอาแค่เพื่อนซี้คุณออกมาเปิดเรื่องวัคซีน โดนทัวร์ลงชนิดแทบไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่ทัวร์ธรรมดาลง แต่ระดับอาจารย์แพทย์หลายๆ สถาบัน บ่งบอกนัยยะที่พวกคุณน่าจะคิดได้ถึงความรู้สึกของประชาชนต่อสถาบัน
จะอย่างไรก็ตาม ที่คุณมาข่มขู่เรื่อง anarchy revolution คุณคิดหรือว่า ประชาชนเขากลัวพวกคุณ ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อเกิดอนาธิปไตยแล้ว ใครกันแน่ที่จะได้รับผลกระทบ ผมเกรงว่าพวกคุณมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบนี้ ท้ายที่สุดหากไม่มีแผ่นดินอยู่ ช่วยไม่ได้นะครับ
ท้ายนี้ ผมเชื่อว่า ประชาชนเข้าใจถึงเรื่องกฎหมายกันดี กฎหมายจับความเร็ว ก็มักจะมีปัญหากับคนขับรถเร็ว กฎหมายเป่าแอลกอฮอล์ ก็มักจะมีปัญหากับพวกเมาแล้วขับ กฎหมายมาตรา 112 ก็จะมีปัญหากับพวกจาบจ้วงคิดล้มล้าง ซึ่งดูหน้าดูตาแล้วก็หน้าซ้ำๆ กลุ่มเดิมๆ ถึงวันนี้คนไทยเขาพร้อมแล้ว ที่จะสู้กับพวกคุณ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ไทยโพสต์ว่า กิจกรรมของคณะก้าวหน้าปีนี้ จะเดินทางไปรณรงค์ทางความคิดทั่วประเทศกับนิสิตนักศึกษา ที่จะเป็นการรณรงค์ในประเด็นสำคัญๆ ที่จะต้องรณรงค์ทางความคิดต่อ ก็คือ เรื่อง 1. รัฐธรรมนูญ 2. สถาบันพระมหากษัตริย์ 3. การปฏิรูปกองทัพ
“เรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง คือ เรามองว่า การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2563 เขาผลักเพดานการทำให้เรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกวางไว้บนโต๊ะ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่มันถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว”
นายปิยบุตร กล่าวว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้นได้ ย่อมหมายความว่า คนในสังคมต้องเอาด้วย ที่ไม่ใช่แค่ 51 กับ 49 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้อง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอนนี้มันยังไปไม่ถึง คือ อาจจะมีบางคนเอาด้วยแต่ก็ไม่กล้าพูด หรือบางคนเอาด้วยเล็กน้อย แต่หากแรงไปก็ไม่เอา แล้วก็อาจมีบางคนไม่เอาเลย และก็อาจมีบางคนบอกไว้ทีหลัง มันมีหลายแบบ
ส่วนการแก้ไข ม.112 นั้น เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ตั้งแต่สมัยเป็นนักวิชาการ เห็นปัญหาของเรื่องคดีอาญาของมาตรานี้มาตลอด ปัญหาของมาตรา 112 มันไปอยู่ในหมวดของความมั่นคงของราชอาณาจักร ถ้าเป็นประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท มันไม่ได้กระเทือนต่อราชอาณาจักร เพราะราชอาณาจักรยังอยู่
“ตรรกะเทียบเคียงง่ายๆ หากกระทบกระเทือนต่อราชอาณาจักรจริง ที่ไปดำเนินคดีกันไม่รู้กี่คดีแล้ว แต่ราชอาณาจักรก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม โดยเนื้อหาความผิดในมาตรานี้จึงไม่ได้กระทบกระเทือนต่อราชอาณาจักร จึงควรย้ายหมวดมันออกมา”
เขายังกล่าวว่า เรื่องอัตราโทษของมาตรา 112 ที่สูงมาก คือ โทษจำคุก 3-15 ปี เป็นอัตราโทษที่สูงกว่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก เพราะสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่เราบอกพระมหากษัตริย์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของรัฐรัฐนั้น แต่โทษกลับน้อยกว่าสมัยปัจจุบัน
นายปิยบุตร กล่าวว่า ควรต้องคิดทั้งระบบเลยว่า ตั้งแต่ประมาท-ดูหมิ่น ประมุขของรัฐ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ศาล เจ้าพนักงาน ทูต และประชาชนคนธรรมดา ทั้งหมดนี้ หากมีการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นกัน เอาออกจากโทษอาญาได้หรือไม่ แล้วให้ไปว่ากล่าวกันเอง ที่ก็คือไปเรื่องของทางแพ่ง ซึ่งหลายประเทศทำแล้ว
“ผมขอถามผ่านบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ถึงคนที่จงรักภักดี คนที่เป็นรอยัลลิสต์ ผมถามว่า คุณคิดจริงๆ หรือว่าการใช้ข้อหามาตรา 112 มากเท่าไหร่ จะยิ่งรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ได้มากเท่านั้น ความเห็นผมคือไม่ใช่ คุณจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร ด้วยการที่บอกว่า ประเทศนี้มีคนโดนดำเนินคดีมาตรา 112 เป็นร้อยเป็นพันคน นี่คือ การรักษาสถาบันหรือ ผมว่าไม่ใช่แน่
การรักษาสถาบัน แต่คุณไปบอกว่า ประเทศนี้สถาบันทรงพระเกียรติยศ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาต่อเนื่องยาวนาน มีคุณูปการความสำคัญต่อราชอาณาจักรไทย แต่อีกด้านหนึ่งมีคนโดนมาตรา 112 เป็นร้อยเป็นพัน แล้วคนโดนรอบนี้ดันเป็นเยาวชนของชาติหมดเลย ผมว่าสิ่งนี้ไม่ใช่วิธีการรักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอน” แกนนำคณะก้าวหน้ากล่าว (อ่านรายละเอียดฉบับแทบลอยด์)
แน่นอน, ปัญหาที่น่าคิดเกี่ยวกับข้อเสนอ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งแน่นอนว่า จะยังคงเป็นประเด็นร้อนอย่างต่อเนื่อง ถ้าฟังจากนายปิยบุตร ก็คือ ทั้งสองฝ่ายต่างอ้าง ปกป้องไม่ให้สถาบันฯเสื่อมเสีย ในมุมมองที่ต่างกัน
สำหรับกลุ่มปกป้องสถาบัน ดูไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก คือ ตรงไปตรงมา ไม่ยอมให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิด ลบหลู่ดูหมิ่น หรือ ล้มล้างสถาบันได้เท่านั้น
แต่ฝ่ายที่อ้างตัวเองว่า เป็นประชาธิปไตย อย่างเสมอภาคเท่าเทียมอย่างแท้จริง มักเริ่มด้วยคำถามอย่างที่ “ปิยบุตร” ถาม “คุณจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร ด้วยการที่บอกว่า ประเทศนี้มีคนโดนดำเนินคดีมาตรา 112 เป็นร้อยเป็นพันคน นี่คือการรักษาสถาบันหรือ”
ประเด็นก็คือ การใช้ ม.112 เอาผิดทุกคนที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันหรือไม่ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียมากกว่า
แต่ก็ถูกโต้ตอบ จากฝ่ายปกป้องสถาบันเช่นกันว่า ที่มีการใช้ ม.112 เอาผิดเยาวชน หรือ ม็อบราษฎร 2563 จำนวนมากอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะมีการเคลื่อนไหวประเด็น “ปฏิรูปสถาบัน” หรือ ม็อบคณะราษฎร โดยที่ผ่านมา ทั้งแกนนำและมวลชนในม็อบ พบว่ามีพยานหลักฐานกระทำผิดจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่อยู่เฉยๆ กฎหมายจะไปไล่จับคนมั่วไปหมด
ไม่แปลกที่ “หมอวรงค์” กล่าวว่า กลุ่มคนที่มีปัญหา จากการบังคับใช้ ม.112 ก็คือ กลุ่มคนที่กระทำการจาบจ้างล่วงละเมิด ให้ร้ายสถาบัน หรือ คิดล้มล้างเท่านั้น
ประชาชนทั่วไป เขาศรัทธาของเขาอยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
สรุปก็คือ กฎหมายมันก็อยู่ของมัน ถ้าไม่มีใครไปล่วงละเมิดก็ไม่มีผลบังคับใช้ แต่เมื่อใดที่มีคนไปกระทำความผิดต่อกฎหมาย เมื่อนั้นกฎหมายมันก็ทำงาน
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร หรือเป็นไปได้หรือไม่ ที่นายปิยบุตร คณะก้าวหน้า และม็อบคณะราษฎร 2563 จะเลิกจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันฯ ไม่ทำผิดกฎหมาย ม.112 แล้วคนที่ถูกจับตาม ม.112 ก็จะไม่มีแม้แต่คนเดียว จึงจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
มิใช่ คิดแต่ได้ฝ่ายเดียว ว่า ต้องแก้ ม.112 เพราะบังคับใช้จับคนไปเยอะแล้ว แต่ไม่รณรงค์ หรือ บอกกล่าวฝ่ายตนว่า ต่อไปอย่าจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเป็นอันขาด แม้เราจะต่อสู้ปฏิรูปสถาบันฯก็ตาม แล้วไปคิดวิธีการต่อสู้ที่แยบยล ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าข้อใดก็ตาม ทำได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับผิดตามกฎหมาย และรับโทษที่จะตามมาด้วย นักกฎหมายอย่าง “ปิยบุตร” ไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร?
แค่นี้ก็เห็นเจตนาแล้วว่า เอียงข้างฝ่ายไหน แล้วก็ต้องการที่จะล้มล้างฝ่ายไหน โดยอ้างสิ่งที่จะดึงแนวร่วมได้ อย่าง ปชต. เสรีภาพ เสมอภาค เท่าเทียม ทั้งที่ก็รู้ทั้งรู้ว่า ไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้ แม้แต่ประเทศเบอร์หนึ่ง ปชต. ก็ตาม แต่แน่นอนสิ่งที่ได้ในทันทีก็คือ ผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง
ทั้งหลายเหล่านี้ อ่านดูให้ดี ก็จะเห็นว่า อะไรเป็นอะไร อะไรบริสุทธิ์ใจ อะไรแอบแฝงมากับวาทกรรมอันสวยหรู แต่บิดเบือนอย่างหน้าตาเฉย ชนิดดูถูกคนไทย อย่างร้ายกาจที่สุด เหลือเชื่อว่าจะทำได้!?