xs
xsm
sm
md
lg

บ่อนพนันคุมไม่อยู่ “หลงจู๊” ยังลอยนวล หรือ “ลุงตู่” จะรอเรื่องเงียบอย่างรู้เห็นเป็นใจให้กัน ?? ** ปมแต่งตั้ง “เนตร-ปรเมศวร์” ที่มีมีปัญหา ในที่สุดก็ออกแนวอัยการปกป้องพวกพ้องตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว

**บ่อนพนันคุมไม่อยู่ “หลงจู๊” ยังลอยนวล หรือ “ลุงตู่” จะรอเรื่องเงียบอย่างรู้เห็นเป็นใจให้กัน ??

สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่จังหวัดในภาคตะวันออกพื้นที่สีแดงเข้มมาถึงวันนี้อาการยังหนักน่าเป็นห่วง

เริ่มจากระยองต้องบอกว่าบ่อนพนันทำ “ระทม” อย่างต่อเนื่อง เมื่อตรวจเจอว่ามีผู้ติดโควิดเพิ่มอีก 11 ราย โดยเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์บ่อนพนัน อีกแล้ว...รวมๆ แล้วขณะนี้ระยองมียอดผู้ติดเชื้อปาเข้าไปทั้งหมด 520 คน ซึ่งกว่าครึ่ง หรือ 50% มีที่มาเชื่อมโยงบ่อนการพนัน
ว่ากันว่า ตัวเลขอาจจะเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะบ่อนคุมไม่อยู่ แม้ว่าบ่อนพนันกลางเมืองระยอง บริเวณหลัง บขส.เก่าของ “หลงจู๊สมชาย” จะปิดไปแล้ว แต่จากการตรวจสอบและประชาชนที่ทนไม่ไหว แจ้งเบาะแสมายังพบว่ามีบ่อนพนันที่ยังเปิดทำการให้นักพนันเล่นกันอยู่ในหลายพื้นที่
ฟังว่ากลุ่มนักพนันในพื้นที่ยังไม่หวาดกลัวต่อการแพร่กระจายของเชื้อโควิด และยังคงกระจายกันไปเล่นยังบ้านเรือนที่พักอาศัยของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางจังหวัดก็ทำได้แค่ตั้งรับ ประชาสัมพันธ์ว่า หากประชาชนในพื้นที่รู้เบาะแสการลักลอบเล่นพนัน หรือการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ให้แจ้งที่ 191 ได้ทันที

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะที่ ชลบุรี ก็ไม่น้อยหน้า นอกจากที่เมืองพัทยาเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจได้เข้าจับกุมบ่อนการพนัน บนคอนโดมิเนียมหรู ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หาดจอมเทียน ได้นักพนันต่างชาติและคนไทย 21 คน ซึ่งนี่ก็พิสูจน์อีกว่า บ่อนพนันในชลบุรี ก็ยังมีเยอะไม่แพ้ระยอง แล้วยังมี “จุดเสี่ยงใหม่” ที่ “โรงเบียร์” ทั้งที่ศรีราชา และโรงเบียร์ป๋าแดง สัตหีบ
เมื่อเจาะกันลงไปก็วนกลับมาที่ปัญหาของ “ขาใหญ่” เจ้าของบ่อน และบิ๊กสีกากี ที่มีสัมพันธ์กันเป็นเนื้อเดียวกันคอยแอบอิงอำนาจรัฐเกี่ยวข้อง แว่วว่า เจ้าของโรงเบียร์เป็นธุรกิจส่วนตัวของนายตำรวจใหญ่ที่เคยอยู่ในพื้นที่ โดยที่รัฐบาลก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่แก้ปัญหาแบบ “ลูบหน้าปะจมูก” หรือ ย้ายตำรวจออกจากพื้นที่ แล้วคิดว่าปัญหาจะคลี่คลายไปเองเหมือนที่ผ่านๆ มา
เพราะเหตุนี้ ปัญหาเรื่องบ่อนจึงไม่หมดไปจากพื้นที่ภาคตะวันออกเสียที ทั้งระยอง ของ “หลงจู๊สมชาย” หรือ ชลบุรี บ่อนถาวรหลักๆ อาจจะปิดไปจริง แต่เครือข่ายก็ยังเปิดเย้ยเจ้าหน้าที่ เป็นแหล่งแพร่เชื้อให้ประชาชนรับกรรม ซึ่งคนในพื้นที่เชื่อว่าพวกนี้รอเวลากลับมาเปิดเต็มรูปแบบเหมือนเดิมแน่นอน
ส่วนความเคลื่อนไหว ของบรรดา “ขาใหญ่” อดีตบิ๊กสีกากี ที่มีสายสัมพันธ์กับบ่อนและมีส่วนช่วยให้ “หลงจู๊” ผงาดเป็นเจ้าพ่อบ่อนพนัน ข่าวว่ายังใช้ชีวิตแบบชิลชิล มีเวลานัดสังสรรรวมกลุ่มเกาะก๊วนออกรอบตีกอล์ฟกันสบายใจเฉิบ ราวกับว่าเรื่องบ่อนพนันที่เป็นต้นเหตุซูเปอร์สเปรดเดอร์ ให้คนไทยทุกข์หนักกับโควิดรอบใหม่เป็นเรื่องเล่นๆ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับตัวเองตรงไหน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
นี่ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงผลว่า การที่รัฐบาลไม่จริงจังกับการปราบปรามโควิดจากบ่อนพนันในภาคตะวันออก ทำให้คนพวกนี้ได้ใจ ซึ่งก็รวมถึง “หลงจู๊” ที่ยังอยู่แบบสุขสบาย ลอยนวล อยู่เหนือกฎหมายต่อไป โดยประชาชนได้แต่จับตาและเฝ้ารอว่า เมื่อไหร่ผู้มีอำนาจจะจัดหนักเจ้าของบ่อนตัวการสักที
ความจริงตอนนี้ควรต้องเป็นโอกาสที่จะถอนรากถอนโคน แต่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีไม่เด็ดขาด ทุกเรื่องไม่สงบจบที่ลุงตู่ เหมือนสมัยก่อน ขณะที่ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร.ก็ทำงานตั้งรับตามรัฐบาลสั่งอย่างเดียว ไม่มีบทบู๊ ไม่มีเชิงรุก ปฏิบัติการต่างๆ และความคืบหน้าในการดำเนินคดีเรื่องบ่อนจึงนิ่งอยูกับที่
คนในพื้นที่เองซึ่งอาจจะรวมถึงคนทั้งประเทศก็ท้อ อย่างเช่นผล “ซูเปอร์โพล” วันก่อนที่ชี้ว่า “ลุงตู่” เปลี่ยนไป ผิดหวังกับนายกฯ ที่ไม่กล้าแก้ไขปัญหาเรื่องบ่อนพนัน ทั้งๆ ที่ประชาชนพยายามชี้เบาะแสบ่อนพนันของ “หลงจู๊สมชาย” ที่ระยอง มานานก่อนจะมีโควิดรอบใหม่ จนป่านนี้เจอคนติดเชื้อเรื่อยๆ ทั้งรัฐบาลและตำรวจก็ยังไม่มีคำตอบ
แถมทอดเวลามาจนถึงวันนี้ ท่าทีก็ดูเหมือนจะเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น หวังว่า กระแสใหม่จะมากลบกระแสความสนใจของสังคม เช่น ตีปิ๊บเรื่องวัคซีนเป็นผลงาน “โบแดง” ของรัฐบาล ทั้งๆ ที่ “โบดำ” ต้นตอปัญหาส่วยการพนันและแรงงานเถื่อน ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐยังเอาไม่อยู่ ปราบไม่ได้ ยังปล่อยขบวนการหากินกับบ่อน-ส่วยแรงงาน ผยองเดชไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

หลงจู๊สมชาย
งานนี้ “ลุงตู่” ถ้าจะเลือกอยู่เฉยๆ ก็บอกได้เลยว่า จะไม่สามารถสร้างความไว้วางใจและศรัทธากับสังคมได้อีกต่อไป
ผลโพลนั้น ได้สะท้อนให้เห็นว่า “อิทธิพลมืดยังอยู่เหนืออำนาจรัฐ” นั้น เป็นความรู้สึกอัดอั้นตันใจของประชาชนแค่ไหน
“ลุงตู่” จะไม่รู้ ดูไม่ออกเลยหรือ ? ว่าประชาชนคิดกันอย่างไร !!
ช็อตต่อไปก็ต้องพิสูจน์กันว่า “หลงจู๊” อยู่เหนือ “ลุงตู่” เพราะ ลุงก็รู้เห็นเป็นใจกันจากมีที่ไปที่มา ด้วยว่ามีสายสัมพันธ์แน่นปึ้ก กับ “ผู้ใหญ่” อุ้มชู ผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
เมื่อไหร่ที่คลื่นลมสงบ “หลงจู๊” กลับมาได้ใหม่ เมื่อนั้นเป็นอันได้รู้กันว่า จริงมั้ย ?



** ปมแต่งตั้ง “เนตร-ปรเมศวร์” ที่มีมีปัญหา ในที่สุดก็ออกแนวอัยการปกป้องพวกพ้องตัวเอง วนลูป รอเรื่องเงียบ... ระวังเสียงเรียกร้องจากสังคมให้ปฏิรูป “แดนสนธยา” แห่งนี้จะดังขึ้นเรื่อยๆ

วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์-อรรถพล ใหญ่สว่าง
กรณีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือถึง “นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด เพื่อสอบถามรายละเอียดให้รอบคอบก่อนนำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการและอัยการอาวุโส ขึ้นทูลเกล้าฯ
ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า รายชื่อที่มีปัญหาคือ “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด ที่จะไปดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส สำนักงานคดีอาญาพระโขนง และ “ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี ที่จะไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการอัยการ
กรณี “นายเนตร” นั้น เป็นที่รับรู้กันว่า คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัย ที่สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ในคดีขับรถยนต์ชนดาบตำรวจตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 55 ซึ่งเป็นที่สนใจสังคม จนนายกรัฐมนตรีต้องตั้งคณะกรรมการชุด “วิชา มหาคุณ” ขึ้นมาตรวจสอบ และในรายงานผลการตรวจสอบฯ ก็ระบุชัดว่า รองอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้อง “คดีบอส” ใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบ และอัยการสูงสุด ในฐานะผู้มอบอำนาจ ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบ ต่อความบกพร่องในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของรองอัยการสูงสุด ผู้รับมอบอำนาจได้
จากนั้นส่งเรื่องต่อไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ป.ป.ช.-ป.ป.ท.-ตำรวจ-อัยการ จัดการชำระสะสาง รวมทั้งดำเนินคดีอาญา กับผู้เกี่ยวข้อง กับเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว ... แต่ถึงวันนี้ทุกอย่างยังเงียบ !!
ส่วนกรณี “ปรเมศวร์” นั้นมีคดี “เมาแล้วขับ” ที่อยู่ระหว่างสอบสวนของสน.บางกรวยใต้ จ.นนทบุรี
เรื่องหนังสือ “ตีกลับ” นี้ “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธาน ก.อ. บอกว่าจะเรียกอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ ในฐานะเลขา ก.อ.เข้ามาหารือเพื่อที่จะเรียกนัดประชุม ก.อ.วาระพิเศษโดยเร็วที่สุด... แล้วการประชุม ก.อ.วาระพิเศษ ก็มีขึ้นเมื่อวานนี้ (11 ม.ค.) โดย นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เข้าร่วมประชุมด้วย
“อรรถพล” ให้สัมภาษณ์สื่อหลังการประชุม สรุปได้ว่า... เรื่องให้ทบทวนแต่งตั้งบุคคลทั้งสองนั้น “ไม่จริง” ไม่ใช่การ “ตีกลับ” ... หนังสือจากเลขาฯ ครม. ที่ส่งมานั้น แค่ขอข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากอัยการสูงสุด กรณีการขอโปรดเกล้าฯ นายเนตร นาคสุข และ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ซึ่งเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุด ที่จะต้องชี้แจงให้ข้อมูลดังกล่าว และอัยการสูงสุดก็บอกว่า จะเป็นคนให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเลขาฯ ครม.เอง

เนตร นาคสุข-ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม
ส่วนหนังสือที่ส่งมานั้น เป็น “เอกสารลับ” ที่ส่งถึงอัยการสูงสุด ไม่สามารถเปิดเผยได้ และทาง ก.อ.ก็ไม่เห็นเอกสารดังกล่าว... สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไรนั้น “ตอบไม่ได้” เพราะไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ก.อ. ทาง ก.อ. คงไม่เข้าไปก้าวล่วงในอำนาจของฝ่ายบริหารของอัยการสูงสุด
เมื่อถามว่า ก.อ.สามารถแต่งตั้ง “เนตร” เป็นอัยการอาวุโสได้หรือไม่ ขณะอยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการตรวจสอบ “อรรถพล” บอกว่า ยังไม่ได้พิจารณาถึงระเบียบในเรื่องนี้ ... ส่วนความคืบหน้าในการสอบสวน “เนตร” ยังตอบไม่ได้ เพราะคณะกรรมการสอบสวนเป็นอีกชุดหนึ่ง กำลังสอบสวนอยู่โดยปกติใช้กรอบเวลา 30 วัน แต่ตอนนี้ต่อเวลามาสองครั้งแล้ว ส่วนเหตุผลในการต่อเวลา... ไม่สามารถเปิดเผยได้
ส่วนเรื่องความคืบหน้าคดีของ “นายปรเมศวร์” ทาง ก.อ.ไม่ได้ชี้เเจงข้อเท็จจริงเข้ามา จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร
“อรรถพล” สรุปว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบของของอัยการสูงสุด ก.อ.จะไม่ไปก้าวล่วง... ขณะที่ผู้ฟังฟังแล้วก็สรุปได้เช่นกันว่า เป็นการปกป้องกันเองชัดๆ !! ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เพราะคงคิดว่าเดี๋ยวก็ลืมกันไปเอง!!
หากย้อนไปดูการสั่งคดีที่สำคัญๆ ที่ “ค้านความรู้สึก” ของสังคม มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ “อัยการสูงสุด” เดินทางไปต่างจังหวัด หรือติดภารกิจ แล้วมอบอำนาจให้ “รองอัยการสูงสุด” เป็นผู้ลงนามในคำสั่งแทน อย่างกรณี สั่งไม่ฟ้องคดีบอส ไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินพานทองแท้ ชินวัตร สั่งไม่ฟ้องคดีฟอกเงินเจ้าสัวธรรมกาย คดีวิคตอเรียซีเครต ... ก็น่าจะเห็นความสัมพันธ์ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย ในการทำงาน และจะไปออกดอก ออกผล ในช่วงการแต่งตั้ง โยกย้าย
จริงอยู่...การปฏิบัติหน้าที่ของอัยการเป็นอิสระ ไม่อยู่ใต้อาณัติสั่งการของใคร... ก็ต้องจับตาว่า กรณีที่เป็นปัญหาอยู่นี้ “อัยการสูงสุด” จะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะยังคงยืนยันการแต่งตั้ง “เนตร” และ “ปรเมศวร์” ต่อไปหรือไม่
แต่ต้องไม่ลืมว่า ขณะนี้ในสายตาของสังคมนั้น มององค์กรอัยการเป็นเหมือน “รัฐอิสระ” ในความหมายที่ไม่ต่างไปจาก “แดนสนธยา” และเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์กรอัยการจะดังขึ้นเรื่อยๆ !!




กำลังโหลดความคิดเห็น