ได้เวลาสะสางที่ต้นตอ “แก้วสรร” ชำแหละ “โควิดมาเฟีย” เปรียบ “โรคช้ำรั่วในระบบตำรวจ” เหน็บเจ็บ “พปชร.” คือ พาประเทศช้ำรั่ว “ศรีสุวรรณ” ยก 3 ประเด็นร้อนร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐแก้ปัญหา “เอื้อนายทุนหรือไม่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 ม.ค. 64) นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “โควิดมาเฟีย!” ผ่าน www.thaipost.net โดยมีเนื้อหาดังนี้
ถาม โควิด 2 ต่างกับโควิด 1 อย่างไร
ตอบ โควิด 1 เป็นโควิดโลกาภิวัตน์ ที่แพร่เข้าบ้านเราตามความใกล้ชิดกับต่างประเทศ แต่โควิด 2 เป็นโควิดมาเฟีย ที่มีชุมชนแรงงานเถื่อนสมุทรสาคร กับบ่อนพนันตอนเหนือตะเข็บชายแดนพม่า และอาณาจักรบ่อนตะวันออก เป็นฐานซ่องสุมโรค
ฐานโควิดทั้งสามฐานนี้ ล้วนเกิดจากโครงข่ายมาเฟียทั้งสิ้น แพร่เข้ามาแล้วก็กระจายได้กว้าง เร็ว เงียบ เรามัวแต่ดักโรคที่สุวรรณภูมิ กว่าจะรู้ตัวว่าเข้าบ้าน เข้าห้างแล้ว ก็ไล่ตามไล่ตรวจกันไม่หวาดไม่ไหว จนวันนี้ก็ถึงขั้นต้องตั้งด่านตรวจกักกันกันทั้งภาคเลย
วิกฤตทั้งหมดนี้ จะไม่เกิดขึ้น ถ้าบ้านเราไม่มีโครงข่ายมาเฟียบ่อนพนันและมาเฟียค้าแรงงานเถื่อน ที่เติบกล้าครบวงจรแล้ว
ถาม เติบกล้าครบวงจรอย่างไร
ตอบ ระบบมาเฟียนั้น มันต้องมีการจับมือกันระหว่างซุ้มผู้ประกอบการกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยต้องจัดตั้งกันจนเป็นระบบเลยทีเดียว อย่างบ่อนระยองนี่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ระบุว่า ถึงขั้นพัฒนาเป็นระบบให้สัมปทาน ที่เจ้าพ่อจ่ายเงินซื้ออำนาจตำรวจด้วยข้อตกลงเดียวกับเจ้าหน้าที่กลุ่มเดียว ก็ซื้อได้เรียบร้อยหมด ซื้อได้พื้นที่ทั้งจังหวัด ได้ความสมยอมของตำรวจทุกเหล่าทั้งโรงพักในพื้นที่และส่วนกลาง เช่น กองปราบ และได้ทุกระดับด้วยทั้งจังหวัด กองบัญชาการ และกรม
เมื่อซื้ออำนาจได้เบ็ดเสร็จด้วยการจ่ายเบ็ดเสร็จแบบนี้เมื่อใด ฝ่ายเอกชนผู้ประกอบการ (เจ้าพ่อ) ก็จะมั่นคงพอที่จะลุยลงทุนได้เต็มพิกัด จนระยองกลายเป็นมาเก๊าเมืองไทยไปเลยทีเดียว แล้วก็ยังขยายต่อไปจันทบุรี ชลบุรี อีกด้วย เมื่อโควิดเข้าบ่อนก็ลามเข้าบ้านจนถึงขนาดต้องปิดภาคตะวันออกตรวจกันอย่างที่เห็น
ถาม ถ้าซื้ออำนาจรัฐทั้งระบบอย่างนี้ไม่ได้ ก็ลงทุนจนเป็นองค์การมาเฟียไม่ได้
ตอบ เหมือนคุณเป็นพ่อเลี้ยงแม่สอด ลุยตัดไม้สักในพม่าได้มากมาย ต้องขนเป็นขบวนใหญ่จากแม่สอดมาลงเรือส่งออกที่คลองเตยเป็นสิบคันรถ ถามว่าคุณจะผ่านตำรวจมาได้อย่างไร ทั้งตำรวจภูธรตาม สน.รายทาง, ตำรวจป่าไม้, ตำรวจกองปราบ, ตำรวจทางหลวง, ตำรวจวิทยุฯ ทั้งหมดนี้คุณจะควักไปจ่ายไปเป็นด่านๆ ไม่ได้ มันต้องจ่ายครั้งเดียว แล้วให้เขาไปจัดการกันเอง มันถึงจะเป็นไปได้และคุมต้นทุนทางกฎหมายได้
ถาม ก็หนีไม่พ้นระบบขอสัมปทานขนไม้เถื่อนอีก ระบบสัมปทานอย่างนี้ก็ต้องมีมาเฟียอยู่ในฟากตำรวจด้วย ถึงจะจัดการอำนาจตำรวจได้เบ็ดเสร็จทุกส่วน
ตอบ ถูกต้องครับ เฉพาะสัมปทานบ่อนนี้ กำเริบเสิบสานมาก ตั้งแต่ยุค คสช.แล้ว คุณจะพบว่า ในสมัย คสช.นั้น ระบบโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจได้ถูกรื้อทิ้งหมดเลย กล่าวคือ
- ก่อน คสช.นั้น อำนาจโยกย้ายแต่งตั้ง ผู้การ, ผู้กำกับ จะอยู่ที่การประเมินผลและเสนอ ก.ตร. โดยกองบัญชาการต่างๆ โดยระบบนี้การย้ายตำรวจข้ามภาคจะเกิดขึ้นได้ยาก
- ยิ่งไปกว่านั้น การย้ายแต่ละครั้ง จะทำได้เมื่อผู้นั้นดำรงตำแหน่งเกิน 2 ปีแล้ว ถ้าก่อน 2 ปี ต้องมีเหตุผลโดยชอบที่อธิบายได้
- ในส่วนของการเลื่อนระดับ ให้ถืออาวุโสเป็นเกณฑ์ เว้นแต่จะมีเหตุผลโดยชอบอันอธิบายได้
คุณลองคิดดูสิครับว่า ถ้าเกณฑ์ทั้งสามข้างต้นถูกรื้อทิ้งไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น คำตอบก็คือ “มาเฟียตำรวจ” นั่นเอง
ถาม คงวิ่งเต้นหรือขายตัว กันได้ทั้งประเทศเลยเป็นแน่
ตอบ นั่นแน่นอนอยู่แล้วครับ เมื่อผู้กำกับหรือสารวัตร ใน สน.ระยอง สิบกว่า สน. จะถูกเตะถูกย้ายเมื่อไหร่ไปไหนก็ได้ แล้วเอาใครมานั่งก็ได้ อาวุโสเท่าใดก็ได้อย่างนี้ ซุ้มอำนาจในกรุงเทพ ก็ย่อมคัดสรรผู้ยอมตนเป็นลูกน้อง มาร่วมอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับสัมปทานบ่อนระยองได้ โดยสะดวก
ในแนวดิ่งนั้น คนไม่ดีจะก้าวข้ามอาวุโสตะกายขึ้นไปครองอำนาจได้ทุกขณะเช่นกัน
ถาม เห็นคุณสนธิระบุว่า คราวที่แล้ว มีผู้กำกับในระยอง ชลบุรี ถูกเตะโด่งออกนอกภาค 2 สิบกว่าคนเลยนะครับ
ตอบ อันที่จริงเขาเตะข้ามภาคกันมาหลายปีแล้ว เพราะช่วง คสช.นั้น มีการซื้อขายตำแหน่งอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามบิ๊กโจ๊กดูก็ได้ แต่พอมาถึงกรณีให้สัมปทานบ่อนตะวันออก มันก็เตะตามความเหมาะสมเพื่อหาคนที่ยอมร่วมมือมาอยู่ระยองเท่านั้น
ถาม เมื่อ คสช.รื้อระบบบริหารบุคคลของตำรวจจนเละเทะอย่างนี้ หลายปีที่ผ่านมานี้ คนดีๆ มียางอายมีฝีมือในราชการตำรวจ คงต้องจมอยู่ตามพื้นที่บ้านนอก และหาความก้าวหน้า ก้าวขึ้นมาระดับสูงได้ยากมากใช่ไหมครับ
ตอบ เป็นเช่นนั้น อย่าหวังเลยว่า ตำรวจยุคลุงตู่ จะใช้งานเพื่อบ้านเมืองได้อย่างจริงจัง “โควิดมาเฟีย ” ในวันนี้ เป็นผลบั้นปลายของความทรุดโทรมในราชการตำรวจยุค คสช. คุณอย่าไปเพ่งเล็งให้ปราบบ่อนหรือแรงงานเถื่อน หรือย้ายตำรวจเท่านั้น เพราะมันถึงขั้นเป็นโรคช้ำรั่วกันไปแล้ว
ถาม “ช้ำรั่ว” มันเป็นอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ มันเกี่ยวกับโควิดที่ตรงไหน
ตอบ โรคช้ำรั่วนี้ มันกลั้นฉี่ไม่ได้ ก็เพราะระบบทางเดินปัสสาวะตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะมันเสื่อมไปหมดจนถึงหูรูดแล้ว ในทำนองเดียวกันเมื่อระบบตำรวจเสื่อมอาชญากรรมก็ต้องกำเริบไหลเรื่อยออกมาเหมือนปัสสาวะนั่นเอง
ถาม อย่างนี้เราก็ปราบบ่อนไม่ได้
ตอบ ถ้ากล้าจริงลงมือจริงก็ยังพอมีทางจะทำทั้งระบบด้วยตัวระบบเองได้ ไม่ต้องประกาศให้ชาวบ้านแจ้งนายกฯหรอกครับ วิธีนี้ในทางปกครองแล้ว มันน่าอายมาก
ถาม ขณะเดียวกัน ก็ต้องลงมือปฏิรูปผ่าตัดตำรวจไปด้วยเลย
ตอบ ผมไม่เคยเห็น คสช.เขาเอาจริงปฏิรูปอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เขาปฏิวัติเข้ามาเป็นรัฐบาลประจำเท่านั้น ดูคดีนายบอสเป็นตัวอย่าง จะพบว่า เขาไม่มีเจตจำนงและความกล้าหาญที่จะปรับเปลี่ยนอะไรเลย ระบบสำคัญหลายอย่างในบ้านเมืองวันนี้จึงยังทรุดโทรมช้ำรั่วอยู่เหมือนเดิม
ที่ผมเรียก คสช. ว่า “คณะเสียเวลาแห่งชาติ ” จึงไม่น่าจะผิด
ถาม มาวันนี้เลือกตั้งแล้วสืบทอดเป็นรัฐบาลพลังประชารัฐแล้ว แล้วเป็นอย่างไรครับ
ตอบ ก็เป็น พปชร.คือ “พาประเทศช้ำรั่ว” เสียเวลาไปวันๆ เหมือนเดิมไงล่ะครับ
ถาม ฝ่ายค้านช่วยอะไรบ้านเมืองได้บ้างไหม
ตอบ ฝ่ายค้านไม่มี เรามีแต่ฝ่ายแค้นกับฝ่ายล้มเจ้าเท่านั้น ทุกวันนี้รายการขุดคุ้ยบ้านเมืองของคุณสนธิ กำลังทำหน้าที่แทนฝ่ายค้านอยู่
โดดเดี่ยวเปิดหน้าลุยอยู่นอกระบบแต่มีคนฟังมากอย่างนี้...น่าเป็นห่วงมากครับ
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้เฝ้าติดตามการทำงานแก้ไขปัญหาการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง พบว่า มีข้อพิรุธเป็นที่ผิดสังเกต ที่ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจและเกิดความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก จำเป็นที่จะต้องกระชากหน้ากากความจริงของรัฐบาลผ่านการตรวจสอบของผู้ตรวจการแผ่นดิน คือ
1) กรณีการปิดตลาดนัด เป็นมาตรการป้องกันการระบาด โดยรัฐ เริ่มต้นด้วยการเลือกปิดตลาดนัด ปิดร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้าเดือดร้อนเพราะไม่มีแหล่งขายสินค้า เพื่อหารายได้ รัฐประกาศปิดตลาดนัดเพราะกลัวประชาชนจะไปแออัดกันซื้อสินค้าตลาดตลาดนัด
แต่รัฐไม่ปิดห้างสรรพสินค้าที่มีระบบแอร์ตลอดเวลาและเป็นสถานที่ปิด เป็นความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า แต่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากจึงผ่อนคลายให้ การดำเนินนโยบายป้องกันดังกล่าวของรัฐ เป็นการเอื้อกลุ่มทุนแต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
2) กรณีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อแจกฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทั่วไป ใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยมีกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 100,000 ชิ้นต่อวัน หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเริ่มผลิตและส่งมอบให้กับทางราชการมาตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็น่าจะเกือบ 30 ล้านชิ้นแล้ว
หน้ากากดังกล่าวหายไปไหน ทำไมคนไทยยังต้องวิ่งซื้อหามาใช้อย่างยากลำบากอีกเมื่อมีการระบาดระลอกใหม่ มีหน่วยงานใดยักยอกไว้ใช้โดยไม่นำมาแจกจ่ายให้ประชาชนหรือไม่ หรือว่าโรงงานไม่ได้ผลิตตามที่โฆษณาไว้จริง หรือมีการลักลอบนำเอาหน้ากากไปซื้อขายกันในตลาดมืด
3) กรณีการนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาฉีดให้คนไทยอย่างล่าช้า ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนำมาใช้ฉีดให้กับพลเมืองของตนนานแล้ว เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และล่าสุดประเทศที่เล็กและด้อยกว่าไทยก็ยังนำวัคซีนมาใช้แล้ว คือ ลาว
แต่สำหรับประเทศไทย โฆษณาชวนเชื่อมานานแล้วว่าจะซื้อวัคซีนจาก บ.แอสตราเซเนกา (ไทย-อังกฤษ) ซึ่งใช้สูตรยาและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ร่วมกับ บ.แอสตราเซเนกา ซึ่ง บ.สยามไบโอไซเอนซ์ จะเป็นผู้ผลิต และจะเริ่มนำมาใช้ประมาณ พ.ค.- มิ.ย. 64 นี้ เป็นต้นไป จนครบ 26 ล้านโดส ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก
กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ต่อมาไปจัดซื้อวัคซีนบางส่วนที่พัฒนาโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค บริษัทเภสัชภัณฑ์ของจีน จำนวน 2 ล้านโดส โดยชุดแรก 2 แสนโดส จะขนส่งมาถึงไทยช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ และชุดที่สอง 800,000 โดส จะมาถึงช่วงสิ้นเดือนมีนาคม และอีก 1 ล้านโดส จะมาถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลไปจัดหาวัคซีนจากจีน มีความเกี่ยวข้องกับการที่มีบริษัทเจ้าสัวจากเมืองไทยไปเข้าถือหุ้น 15% ใน “ซิโนแวค” บ.ผลิตวัคซีนโควิด-19 ของจีน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กันและกันใช่หรือไม่ด้วย และทำไม อย.จึงไม่รีบรับรองวัคซีนของบริษัทต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ รพ.เอกชนสามารถจัดซื้อจัดหามาใช้ได้อย่างรวดเร็วได้ รัฐบาลมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
นอกจากนั้น การที่มีการปิดบังไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไปใช้บริการร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่มีการเปิดเผยให้ประชาชนทราบ และไม่มีการสั่งปิด แต่กลับมาสั่งปิดสถานที่อื่นๆ แทนนั้น เป็นการเอื้อกลุ่มทุนแต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ด้วย
โดยสมาคมฯจะไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในวันจันทร์ที่ 11 ม.ค. 64 เวลา 10.00 น.ณ ศูนย์ราชการ อาคาร B (สยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งทำให้กระจ่าง และสะสางปัญหาโดยด่วน ถ้าไม่อยากให้กลายเป็น “อาวุธ” อันแหลมคมของ ม็อบคณะราษฎร 2563 และฝ่ายแค้นทั้งหลาย ก็คือ การแก้ปัญหาที่ต้นตอขบวนการมาเฟีย ทั้งในระบบความตำรวจ และกลุ่มเจ้าพ่อเจ้าผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย
อย่าลืม สิ่งที่ อาจารย์แก้วสรร พูดถึง กำลังถูกจับตามองอย่างสูง จากทั้งฝ่ายที่ให้โอกาสรัฐบาลลุงตู่ และฝ่ายที่ต้องการให้ “ลุงตู่” ลาออกทันที เพราะถือว่า เป็นปัญหาการบริหารประเทศโดยตรง ถ้าหากรัฐบาล “ลุงตู่” จะอยู่ เพื่อที่จะให้มาเฟียในระบบตำรวจ และมาเฟียนอกระบบเติบกล้า จนอาชญากรเต็มบ้านเต็มเมือง ขบวนการเถื่อนร่วมกับตำรวจหากินโดยไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน เพราะสัมปทานเถื่อนเอาไว้แล้ว ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไปเช่นกัน
ปัญหาก็คือ เมื่อหลายฝ่ายออกมาจับได้คาหนังคาเขาอย่างนี้แล้ว รัฐบาล และลุงตู่ จะกล้าที่จะรื้อล้างหรือไม่ เป็นสิ่งที่คนไทยอยากเห็นเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยเลยตามเลย ก็เท่ากับว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพ และความกล้าที่จะแก้ปัญหาประเทศเลยแม้แต่น้อย? แม้แต่เรื่องที่อยู่ในอำนาจอยู่แล้วก็ตาม
อีกอย่างคือ กรณีที่ นายศรีสุวรรณ หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ซึ่งก็มีหลายฝ่ายจับตามองอยู่แล้วเช่นกัน และถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลลุงตู่จะต้องทำความโปร่งใสให้ปรากฏ เพราะพิรุธและข้อกล่าวหา เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนหรือไม่ ในการแก้ปัญหา “โควิด” ไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมความทุกข์เข็ญของประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ ให้ทุกข์ร้อนเข้าไปใหญ่ และโหดร้ายอำมหิตเกินที่ใครจะรับได้
และถ้าไม่จริง สิ่งที่รัฐบาลลุงตู่จะต้องทำก็คือ การชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา และมีเหตุมีผลอย่างน่าเชื่อถือเท่านั้น เพราะถ้าชี้แจงไม่ชัดเจน เหตุผลฟังไม่ขึ้นเมื่อไหร่ ศรัทธาประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งถือว่าต้นทุนต่ำอยู่แล้ว จะยิ่งทรุดต่ำลงทันที
เหนืออื่นใด นี่คือ สิ่งที่เรียกว่า “สะดุดขาตัวเอง” รัฐบาลที่มีอำนาจล้นฟ้า มักเจอกับสิ่งนี้มานักต่อนักแล้ว ต่อให้คิดว่าตัวเองแน่แค่ไหนก็ตาม ทั้งหมดน่าจะเป็นความหวังดี มากกว่าอื่นใดทั้งสิ้น!!!