xs
xsm
sm
md
lg

แค่ฉีดน้ำจะเป็นจะตาย! “พี่ศรี” เหน็บเจ็บ USA บุกสภา เป็นไง “เพจดัง” เทียบยุคแม้ว “จีน” เอาคืน “สวยงาม”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บุกสภาสหรัฐฯ จากแฟ้ม
“พี่ศรี” ย้อนเจ็บ “องค์กรสิทธิฯ-3 นิ้ว” อมอะไรอยู่ กรณีผู้สนับสนุน “ทรัมป์” บุกสภา เอาถึงตาย ไทยแค่ฉีดน้ำ หาว่ารุนแรง “เพจดัง” เทียบเสื้อแดงยุคแม้ว “จีน” เอาคืน “ภาพที่สวยงาม” อย่างที่ “ปธ.สภาผู้แทนสหรัฐฯ” หนุนม็อบฮ่องกง

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 ม.ค. 64) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า

“ม็อบประชาธิปไตยใน USA บุกสภาถึงตาย แอมเนสตี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์ พวก 3 นิ้ว อมอะไรกันอยู่ครับ ไทยแค่ฉีดน้ำจะเป็นจะตายกันให้ได้”

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญภายในใจกลางสัญลักษณ์ระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนขบวนด้วยอารมณ์โกรธแค้นบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพุธที่ 6 มกราคม ระหว่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และวุฒิสภา เปิดการประชุมร่วมเพื่อลงมติรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่ง โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะคะแนนทรัมป์ขาดลอย

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า หญิงคนหนึ่งโดนยิงเสียชีวิตภายในอาคารรัฐสภา และยังมีอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ สมาชิกคองเกรสถูกอพยพออกจากอาคาร และได้รับหน้ากากป้องกันแก๊สขณะที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาขับไล่ฝูงชน (จากไทยโพสต์ออนไลน์)

ภาพ เปรียบเทียบม็อบเสื้อแดงยุค “ทักษิณ” กับม็อบผู้สนับสนุน “โดนัลด์ ทรัมป์”  จากเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์ โพสต์ข้อความว่า

“ปี 53 ผู้สนับสนุน “เเม้ว” บุกรัฐสภาไทย
-
ปี 64 ผู้สนับสนุน “ทรัมป์” บุกรัฐสภาสหรัฐฯ
อ้างอิงข่าว
ไทยรัฐออนไลน์ 7 เม.ย. 2553 14:21 น.
“อริสมันต์” เอาอีกแล้ว นำคนเสื้อแดงบุกรัฐสภา พังประตูทางเข้าฝั่งถนนราชวิถี กรูกันเข้าไปภายในอาคาร ส.ส. และข้าราชการสภา เผ่นหนีกระเจิง”
https://www.thairath.co.th/content/75457

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน มีรายงานข่าวจาก เอเอฟพี กล่าวว่า หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ โกลบอลไทมส์ ของทางการจีน ทวีตภาพเปรียบเทียบเหตุการณ์จลาจลในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพุธ ที่ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกอาคารรัฐสภา ปะทะกับเจ้าหน้าที่และทำลายข้าวของภายใน กับการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ที่ผู้ประท้วงบุกยึดห้องประชุมสภานิติบัญญัติเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562

ข้อความในทวิตเตอร์ของโกลบอลไทมส์ กล่าวว่า แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เคยเรียกการจลาจลในฮ่องกงว่า เป็น “ภาพสวยงามที่ได้เห็น” แต่ยังไม่เห็นว่า เธอจะพูดแบบเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแคปิตอลฮิลล์ (อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ) ในตอนนี้หรือไม่

สันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ของจีน ก็กล่าวถึงเหตุการณ์วุ่นวายในสหรัฐฯผ่านแพลตฟอร์มเว่ยป๋อของจีนว่า เป็น “ภาพที่สวยงาม” เช่นกัน

ในโลกออนไลน์ แฮชแท็ก “ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกรัฐสภาสหรัฐฯ” มียอดวิวถึง 230 ล้านวิว ในวันพฤหัสบดี โดยผู้ใช้งานออนไลน์เปรียบเทียบท่าทีที่ทั่วโลกสนับสนุนผู้ประท้วงของฮ่องกง กับการประณามม็อบหนุนทรัมป์

ภาพ จีนเอาคืน จากไทยโพสต์ออนไลน์
“ตอนนี้ ผู้นำประเทศยุโรปทั้งหมด ล้วนแสดงความสองมาตรฐาน และประณาม (การก่อจลาจลในวอชิงตัน)” คอมเมนต์หนึ่งในเว่ยป๋อที่มียอดไลก์มากกว่า 5,000 ไลก์

“ฉันไม่รู้ว่า สื่อฮ่องกงหรือไต้หวัน จะรายงานสองมาตรฐานแบบไหนอีก”

ผู้ใช้งานอีกรายกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสภานิติบัญญัติฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว กำลังเกิดซ้ำในรัฐสภาสหรัฐฯ คอมเมนต์นี้มียอดไลก์กว่า 4,500 ไลก์

อย่างไรก็ดี แม้ผู้ประท้วงชาวฮ่องกงและอเมริกันจะบุกเข้าไปในห้องประชุมสภาเหมือนกัน แต่เหตุผลและแรงจูงใจนั้นแตกต่างกัน ชาวฮ่องกงบุกรัฐสภาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบ และหยุดร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่ผู้นำฮ่องกง ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งพยายามผลักดัน ส่วนของสหรัฐฯนั้น ผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ได้รับการประกาศว่า เป็นการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม.(จากไทยโพสต์ออนไลน์)

นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เฟซบุ๊ก พร้อมด้วย ทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์โซเชียลมีเดียยอดนิยมระดับโลก สั่งระงับบัญชีผู้ใช้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ภายหลังจากที่เขาใช้เป็นช่องทางสื่อสารการปลุกระดมการชุมนุมประท้วง จนนำไปสู่การจลาจลที่กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหลายร้อยคน บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา หรือสภาคองเกรส...

รายงานข่าวแจ้งว่า ทวิตเตอร์ ได้ซ่อนและส่งคำเตือนลบข้อความบนแอ็กเคานต์ของประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่ใช้ชื่อ “แอดเรียลโดนัลด์ทรัมป์ (@realDonaldTrump)” จำนวน 3 ข้อความ เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับเหตุจลาจลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนที่ทางทวิตเตอร์ได้ประกาศระงับบัญชีผู้ใช้ดังกล่าวเป็นเวลา 12 ชั่วโมง และยังระบุด้วยว่า หากยังไม่มีการลบข้อความ ทางทวิตเตอร์ จะระงับบัญชีผู้ใช้ข้างต้นต่อไป

พร้อมกันนี้ มีรายงานด้วยว่า ทางเฟซบุ๊กได้ระงับการเข้าใช้หน้าเพจของประธานาธิบดี ทรัมป์ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากเห็นว่า ละเมิดกฎระเบียบของทางเฟซบุ๊ก (จากสยามรัฐออนไลน์)

รวมทั้ง สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กรณี โรเบิร์ต เจ คอนที ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกรุงวอชิงตัน เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ในบริเวณพื้นที่อาคารรัฐสภา แต่ทุกฝ่ายยังสงวนข้อมูลทั้งหมด อีก 52 คน ถูกจับกุม ในจำนวนนี้มี 47 คน มีหลายคนถูกจับกุมในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการพกพาอาวุธปืนโดยไม่มีใบอนุญาตหรือพบพาอาวุธปืนต้องห้าม

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังพบระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก ที่ห้องทำงานของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต รวมทั้งพบถังเก็บความเย็นในรถคันหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณอาคารรัฐสภา ถังเก็บความเย็นนี้มีระเบิดขวดบรรจุอยู่

แม้เจ้าหน้าที่สามารถอพยพสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดได้ทันเวลา และย้ายตัวรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ไปยังสถานที่ปลอดภัยนานหลายชั่วโมง แต่การบุกรุกสถานที่ราชการเป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เจ้าหน้าที่จึงใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อควบคุมสถานการณ์ (จากแนวหน้าออนไลน์)

อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสงบ ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงภัยต่อสิทธิมนุษยชน ความปลอดภัยของประชาชน และหลักนิติธรรมในสหรัฐฯ การยอมรับความเห็นของกลุ่มขาวสุดโต่ง และกลุ่มสุดโต่งอื่นๆ ของประธานาธิบดี ยิ่งช่วยกระพือไฟแห่งความโกลาหลและความรุนแรง ดังที่เราเห็นกันในวันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทุกคนต้องเคารพ คุ้มครอง และปฏิบัติให้เป็นผลซึ่งสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสิทธิที่จะปลอดจากความรุนแรง การข่มขู่ และการเหยียดผิว”

แน่นอน, ดูเหมือนไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งแรก ที่เกิดความรุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่เห็นองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล หยิบยกเอามาเป็นประเด็นในการโจมตี หรือตอบโต้แต่อย่างไร ถ้ายังจำกันได้ กรณีตำรวจผิวขาวจับกุมคนผิวสีด้วยความรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว จนกลายเป็นเหตุประท้วงใหญ่โตในสหรัฐอเมริกา ก็เช่นกัน

ต่างกับ กรณีในประเทศไทย หรือ ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาอื่น ที่สหรัฐอเมริกา ทำตัวเป็นตำรวจโลก รวมทั้งองค์กรสิทธิฯในสหรัฐอเมริกา เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเสมอภาคด้านสิทธิมนุษยชน มักจะแสดงท่าทีแทรกแซงทางการเมืองประเทศเหล่านั้นมาตลอด อย่างที่ นายศรีสุวรรณ หยิบยกมาเป็นประเด็น ก็เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศไทย ทีเห็นได้ชัด คือ กรณีม็อบคณะราษฎร 2563 พยายามฝ่าฝืนกฎหมาย จนถูกฉีดน้ำผสมสี แต่ถูกกล่าวหาจากองค์กรสิทธิฯทั้งหลายว่า กระทำรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของรัฐบาลเผด็จการ ทั้งที่เป็นขั้นพื้นฐานเท่านั้น

ครั้งนี้ โลกคงได้รู้กันว่า องค์กรสิทธิฯต่างๆ เรียกร้องบนมาตรฐานเดียวกันทั้งโลกหรือไม่ หรือกับสหรัฐอเมริกา ก็อีกมาตรฐานหนึ่ง คือ รุนแรงแค่ไหน (ถึงขั้นมีคนตาย) ก็มีเหตุผลอันสมควรเสมอ???


กำลังโหลดความคิดเห็น