พิษโควิด-19 ระบาด “3 นิ้ว” ปั่นโซเชียล แทนม็อบปิดถนน “อั๋ว” จุฑาทิพย์ อ้างส่งเดช ถ้ารัฐบาลฉลาด “...” ไม่เบียดเบียนภาษี ก็ไม่ต้องอดทำเค้ก “กวิ้น” ชี้ ใครกันแน่ภาระ “ไพศาล” มาแปลก เวลคัม “ทักษิณ” กลับใจ เปิด “ยกอุทธรณ์” แม้ว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 ม.ค. 64) เฟซบุ๊ก Jutatip Sirikhan ของ “อั๋ว” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า
“ถ้าพูดถึงเค้กหลายคนอาจนึกถึงหมาพูเดิ้ลและสระน้ำในตำนาน หรือวลีทองอย่าง “ก็ให้พวกเขากินเค้กแทนซิ” (ซึ่งปัจจุบันไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รับรองว่า พระนางมารีอองตัวเนตต์กล่าววลีนี้) ที่สะท้อนให้เห็นความฟุ้งเฟ้ออย่างสูงสุดของสถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส ก่อนการปฏิวัติในปี 1789 ซึ่งก่อตัวจากความไม่พอใจของประชาชนจากความยากจนและไม่มีสิทธิทางการเมือง
แต่สำหรับเค้กชิ้นนี้ อั๋วนึกถึงชีวิตของตัวเองว่า ถ้ารัฐบาลหากเรามีรัฐบาลฉลาด มี “...(สถาบัน)” ที่ไม่เบียดเบียนภาษีประชาชน เราจะมีเวลาว่างไปทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อเศษเงินใช้ไปวันๆ โดยอย่างอั๋วเองเป็นคนที่ชอบทำขนมมากๆ คนหนึ่ง หากประเทศเรามีรัฐสวัสดิการและสิทธิแรงงานที่เข้มแข็ง ไม่ต้องก่อม็อบไปไล่รัฐบาล อั๋วน่าจะเป็นคนหนึ่งที่ตอนนี้นั่งอ่านสูตรทำขนมไม่ใช่อ่านหมายเรียกคดีทางการเมืองอย่างทุกวันนี้
“เค้กชากุหลาบเอิร์ลเกรย์” ชิ้นนี้อั๋วอยากขอบคุณพี่ที่ให้มาว่า อร่อยมากและอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ไปชิมกัน เพราะสามารถชูเอกลักษณ์สำคัญของชาเอิร์ลเกรย์ที่มีความหอมสดชื่นจากดอกไม้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ขนมหวานหลายอย่างมักหยิบชาเอิร์ลเกรย์เป็นส่วนผสม หรือนำมาเป็นของทานคู่กัน เพราะสามารถเพิ่มความหอมและดึงรสสัมผัสของเนยให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเนื้อเค้กเบาทานง่ายมากๆ ความฟูของเนื้อเค้กเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะคล้ายกับฟองน้ำช่วยกักความหอมของกุหลาบให้อยู่ข้างในและจะกระจายออกมาเมื่อเรากัดเข้าไป รวมถึงตัวครีมที่ไม่หนาเกินไปแบบแนวควบคุมฝูงชนที่ใช้ล้อมจับกุมม็อบย่างกุ้ง มีความหอมของเนยสด ซึ่งถ้าใครสังเกตดีๆ หากเราใช้เนยสดมาทำครีมเมื่อทานแล้วจะไม่ลื่นติดเพดานปาก ต่างจากครีมเค้กแบบใช้เนยเทียม (มาการีน) ซึ่งจะลื่นๆ ติดเพดานปากและไม่ดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ เพื่อนๆ ต้องสังเกตให้ดี
ส่วนสลิ่มหรือสำนักข่าวที่อยากเต้าข่าวว่า อั๋วกินหรูกินอะไรก็เชิญเถอะค่ะ อั๋วมาเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ได้มากินอยู่อย่างอดอยาก หรือสร้างภาพพอเพียงกินข้าวผัดแห้งๆ ก้นกระทะ แบบนั้นปลอมมากค่ะ อย่าหาทำ ว่างๆ มาทานเค้กกันนะคะ ตอนนี้อั๋วมีความสุขมาก ต่างจาก...ที่ตอนนี้คงกำลังเครียดที่ตอนนี้หาทางลงไม่ได้ ยิ่งปราบปรามพวกเรา ยิ่งยัด 112 ให้พวกเรา คนทั้งประเทศก็ยิ่งตาสว่าง ดังนั้น ท่านรีบๆ รับข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เถอะค่ะ เพราะถ้าท่านไม่รับ ปีนี้เรามีอะไรสนุกๆ ให้ทำกันอีกเยอะเลย”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ของ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ อดีตประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) แกนนำม็อบ คณะราษฎร 2563 โพสต์ข้อความระบุว่า
“การเยียวยาประชาชนไม่ใช่ภาระภาษี พวกคุณต่างหากที่เป็นภาระภาษี”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“ขอต้อนรับท่าทีใหม่ 2564 ของคุณทักษิณ ชินวัตร
คุณทักษิณแต่ไหนแต่ไรมานับถือพระ เทิดทูนเจ้า จึงทั้งพระ ทั้งเจ้าได้ช่วยทำนุบำรุงคุณทักษิณในระยะเริ่มแรก
แต่ทำไมจึงผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ใครเป็นต้นเหตุ? ผมก็อยากจะบอกคุณทักษิณให้ได้ทราบเหมือนกัน
เพราะผมก็อยู่ใกล้ทั้ง 3 เหตุการณ์นั้น ที่เชื่อว่า เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผันแปรดังที่เป็นอยู่!!!
แต่ก่อนนี้ ผมไม่อยากจะบอกเพราะยังขุ่นเคืองใจที่มีการปองร้ายผมอย่างรุนแรงในช่วงนั้น!!!
แต่มาถึงวันนี้ ก็เห็นเหมือนกันคือ เวลาอายุของคนเราล่วงเลยไปมากแล้ว ต่างก็อยู่ในวันเวลาของการเอาออก ไม่ใช่เอาเข้า
เป็นห้วงเวลาที่ต้องทำความดีให้กับบ้านเมืองเพื่อสนองคุณแผ่นดินและพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อใดคุณทักษิณปักใจมั่น จะร่วมกันปรองดองสมานฉันท์ฟื้นฟูชาติบ้านเมืองภายใต้ธงมหาราชของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน เมื่อนั้นบ้านเมืองเราย่อมดีกว่านี้แน่”
สำหรับ “ทักษิณ” วันนี้ภายหลังพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญมรสุมทางการเมือง กรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนจดหมายและอัดคลิปวิดuโอ เพื่อขอให้ชาวเชียงใหม่สนับสนุนผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ไม่ได้เป็น ผู้ช่วยหาเสียง จนเป็นประเด็นทางกฎหมาย อันอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นพรรคการเมืองของพรรคเพื่อไทย ล่าสุดมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ
มีรายงานข่าวจากศาลฎีกา แจ้งถึงเอกสารเลขที่ สภ.3(อธ.3)/309/2563 เป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ได้พิจาณาอุทธรณ์ของ นายทักษิณ ชินวัตร ฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2560 เกี่ยวกับ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2549 โดยคำวินิจฉัยนี้แยกย่อยออกมาเป็นหลายประเด็น มี นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร นายประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ ผู้แทนกรมการปกครอง ร่วมลงนามในคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัย ระบุว่า ให้ยกอุทธรณ์ซึ่งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบ ภงด 12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 เป็นเงินทั้งสิ้น 17,629,585,191.00 (หนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนแปดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ให้ผู้อุทธรณ์นำเงิน ภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ไปชำระ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด กรุงเทพมหานครเป็นเงิน 17,629,585,191.00 บาท 00 สตางค์ (หนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนแปดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมาย โดยคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ทำไว้สองฉบับ เก็บไว้ที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หนึ่งฉบับ ส่งให้ผู้อุทธรณ์หนึ่งฉบับ ลงวันที่ 1 กันยายน 2563
ที่น่าสนใจ ประเด็น 8.3 ผู้อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า หนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าไม่มีข้อเท็จจริง ผู้อุทธรณ์และคุณหญิงพจมาน ยังคงถือหุ้นชินคอร์ป ฯลฯ ในเวลานั้น พิจารณาในประเด็นดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น ประกอบกับได้พิจารณาตามประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 2 จึงไม่พิจารณาในประเด็นนี้อีก
ข้อ 9 ผู้อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า หนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภ.ง.ด.12) ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 ไม่มีการระบุเลขที่ใบแจ้งภาษีอากร ทำให้การยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี ไม่สามารถระบุเลขที่ใบแจ้งภาษีอากร ในแบบคำอุทธรณ์ (ภ.ส.6) ได้ครบถ้วนถูกต้อง หนังสือแจ้งภาษีฯดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
พิจารณาแล้วเห็นว่าในคำอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ได้มีการระบุเลขที่หนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีประเด็นต้องพิจารณา
ข้อ 10 ผู้อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า การประเมินภาษีผู้อุทธรณ์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายระเบียบ การจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลรัษฎากรและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
พิจารณาแล้วเห็นว่า การประเมินภาษีผู้อุทธรณ์ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายระเบียบ เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลรัษฎากรและเป็นธรรมแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น
กรณีข้อเท็จจริงที่ผู้อุทธรณ์กล่าวอ้างเพิ่มเติมได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวไว้แล้วตามประเด็นที่ 1 ถึงประเด็นที่ 3 จึงไม่พิจารณาประเด็นดังกล่าวอีก สรุปการประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงมีมติให้ยกอุทธรณ์เสียทั้งสิ้น
ในคำวินิจฉัยยังระบุอีกว่า ประเด็นของดหรือลดเบี้ยปรับตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากร พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์ผู้อุทธรณ์เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงที่ต้องเสียภาษีอากร แต่ให้นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เป็นตัวแทนเชิดในการซื้อหุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริชฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากรและทำให้รัฐเสียประโยชน์ จึงไม่งดหรือลดเบี้ยปรับ
ประเด็นของดหรือลดเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากรนั้น ไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจงดหรือลดเงินเพิ่มได้ จึงไม่งดหรือลดเงินเพิ่ม (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ อยู่ที่ปีนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้นอย่างเป็นกลุ่มก้อนของม็อบล้มเจ้า และผู้อยู่เบื้องหลัง หรือว่า การเอาตัวรอดของนักการเมืองบางคน หลังจากเห็นแล้วว่า ผลเลือกตั้ง นายก อบจ. ของคณะก้าวหน้า เป็นอย่างไร คือ ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว แม้ว่าอยู่ในท่ามกลางกระแสม็อบที่เอื้ออย่างมาก ถ้าหากประชาชนเลือก “ล้มเจ้า” จะทำให้ถอยห่างจากม็อบ หรือไม่
อย่าลืมว่า ม็อบเยาวชนปลดแอก หรือ ม็อบคณะราษฎร ทำให้นักการเมืองหลายส่วน สนับสนุนด้วยวาระซ่อนเร้นหลายอย่าง แม้ไม่ถึงกับต้องการ “ล้มเจ้า” เหมือนบางกลุ่ม แต่ก็ได้ประโยชน์จากผลสำเร็จ หรือชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย จึงทำให้ที่ผ่านมา รัฐบาล “ลุงตู่” และ “สถาบัน” ต้องออกแรงรับมืออย่างยากลำบาก ก่อนที่ โควิด-19 รอบใหม่ จะช่วยเอาไว้
ที่แปลก ก็คือ “ลุงไพศาล” ออกโรงหนุน “ขอต้อนรับท่าทีใหม่ 2564 ของคุณทักษิณ ชินวัตร” ก็ยิ่งเชื่อว่า ต้องมีอะไรไม่ธรรมดา
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าคิดว่า “3 นิ้ว” จะเหลือพลังหนุน เพียงไม่กี่กลุ่ม หรือไม่ ทั้งยังอ่อนล้าโรยแรงไปมาก จากกระแส ต่อต้าน-ตอบโต้ ไม่นับคดีความหลายกรรม หลายวาระ โดยเฉพาะ ม.112 ต้องบอกว่า เป็นปีที่เหนื่อยหนักของ แกนนำ “3 นิ้ว” แน่นอน ถ้ายังขืนดันทุรังอย่างไม่ลดละ หรือ ล้มเลิก เว้นเสียแต่ฝ่ายอำนาจรัฐ จะสะดุดขาตัวเอง จนไปเข้าทางอย่างจังเท่านั้นเอง ทั้งหมดต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป