กสม.เผยสถิติเรื่องร้องเรียน ปี 2563 สิทธิในกระบวนการยุติธรรมถูกร้องมากที่สุด ระบุเน้นภารกิจสำคัญเฝ้าระวังผลกระทบด้านสิทธิในสถานการณ์ชุมนุม-การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เร่งขยายพื้นที่ให้บริการในภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็ว
วันนี้ (30 ธ.ค.) นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยผลการทำงานของ กสม.ในปี 2563 ว่าได้รับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 568 เรื่อง โดยประเด็นสิทธิมนุษยชนที่มีการร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. สิทธิในกระบวนการยุติธรรม คิดเป็นร้อยละ 24 เช่น กรณีขอความช่วยเหลือให้เร่งรัดดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายระหว่างการจับกุม กรณีการตั้งด่านตรวจค้นมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมกับเพศสภาพ
2. สิทธิพลเมือง คิดเป็นร้อยละ 18 เช่น กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม กรณีกล่าวอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐติดตามตัว กรณีผู้ต้องขังเข้าใหม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย กรณีได้รับผลกระทบจากการกักตัวหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศเพื่อดูอาการจากโรคโควิด-19 และ 3. สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน คิดเป็นร้อยละ 11 เช่น กรณีการจ่ายค่าทดแทนสำหรับการเวนคืนที่ดินโดยไม่เป็นธรรม กรณีปัญหาที่สาธารณะประโยชน์ทับซ้อนกับที่ดินทำกินของประชาชน กรณีการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎร
ส่วนการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนหรือส่งต่อหน่วยงานอื่นเพื่อให้การแก้ไขปัญหาแก่ผู้ร้องเป็นไปอย่างรวดเร็วมีทั้งสิ้น 136 เรื่อง เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิแรงงาน สิทธิสถานะบุคคล นักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยได้มีการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม
สำหรับการจัดทำรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนมีทั้งสิ้น 203 คำร้อง โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐทำร้ายร่างกายบุคคลผู้ต้องสงสัยระหว่างการควบคุมตัว สิทธิชุมชน เช่น กรณีคัดค้านการก่อสร้างโครงการรัฐหรือเอกชนและชุมชนได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากโครงการดังกล่าว และ สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน เช่น กรณีพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทับที่ดินทำกินของประชาชน และการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎร เป็นต้น ทั้งนี้ในจำนวนดังกล่าว มีทั้งกรณีละเมิดและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อเสนอต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสิ้น 21 เรื่อง โดยมีเรื่องสำคัญ ได้แก่ ข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุ ข้อเสนอแนะกรณีผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยุติการตั้งครรภ์ ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขกฎหมายกรณีปัญหาความรุนแรงทางเพศต่อเด็กนักเรียนโดยครูหรือบุคลากรทางการศึกษา และ ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน
ขณะที่การติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของ กสม.พบว่า คณะรัฐมนตรีมีการสั่งการไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่ประชาชนแล้วจำนวน 11 เรื่อง จากจำนวน 12 เรื่องที่ กสม. เสนอ เช่น ข้อเสนอแนะการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในการรับเข้าทำงานกับบริษัทเอกชน ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุ ข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อเสนอแนะเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กรณีกล่าวอ้างว่า การลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศกระทบต่อสิทธิมนุษยชน
ส่วนการเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน เช่น การตั้งคณะทำงานเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์กรณีการชุมนุมทางการเมือง โดยร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย การตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์โรคระบาด และได้ให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
สำหรับภารกิจด้านการส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ มีการส่งมอบและเผยแพร่คู่มือจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาขั้นพื้นฐาน 5 ช่วงชั้น สำหรับนักเรียนระดับปฐมวัย-มัธยมศึกษาตอนปลาย และหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมทั่วประเทศ รวมทั้งจัดทำโครงการเยาวชนคนรุ่นใหม่ใส่ใจและยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ เข้าใจ เท่าทันสิทธิมนุษยชนภายใต้บริบทของสังคมไทยและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อให้การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของประชาชนสามารถดำเนินการได้อย่างครอบคลุม รวดเร็ว และทั่วถึงในทุกภูมิภาค ปลายปี 63 กสม.ได้มีมติให้จัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในพื้นที่ภาคใต้ ณ จังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่นำร่อง รวมทั้งมีการดำเนินงานจัดตั้งศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มอีก 6 แห่งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี กาญจนบุรี อุบลราชธานี ยะลา พะเยา และภูเก็ต เมื่อรวมกับศูนย์ศึกษาฯ ที่มีอยู่เดิม 6 แห่ง จะมีศูนย์ศึกษาฯ ทั้งสิ้นรวม 12 แห่งในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกลไกด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น