เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเป็นการ “เดิมพัน” ครั้งใหญ่ หรือ “ทุ่มแบบหมดหน้าตัก” เลยก็ว่าได้ สำหรับ “แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ล่าสุดยังส่งข้อความออกมาเป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่วัน ออดอ้อน หรือว่า “ตัดพ้อ” ต่อว่า ทั้งฐานเสียงเดิมรวมไปถึงพวกอดีต ส.ส. หรือ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังตีจากแยกย้ายกันไปในเวลานี้
ขณะเดียวกัน ยังเรียกร้องให้พี่น้องชาวเชียงใหม่ ให้ช่วยกันสนับสนุน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ ที่เรียกว่า “ส.จ.ก๊อง” หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่ ทั้งชื่อจริง ชื่อเล่น มาเป็น “ก้อง” ผู้สมัครชิงเก้าอี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนที่พรรคเพื่อไทย ให้ลงสมัครในนามพรรค
ขณะที่คู่ต่อสู้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คือ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่ลงสมัครในนามกลุ่ม “เชียงใหม่คุณธรรม” ที่กำลังหาเสียงในโค้งสุดท้ายกันอย่างเข้มข้น ต่างฝ่ายต่างงัดเอาทีเด็ดมาหาเสียงสนับสนุนจากพี่น้องชาวเชียงใหม่ แม้ว่าในพื้นที่ดังกล่าวยังมีผู้สมัครรายอื่นอีก แต่นาทีนี้ถือว่ามีตัวเต็งที่เข้าตาเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพรวมในทางการเมืองที่เชื่อมโยงไปถึงการเมืองในระดับชาติในคราวเดียวกันด้วย ก็ต้องโฟกัสไปที่ท่าทีของ นายทักษิณ ชินวัตร และความเคลื่อนไหวภายในพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก เพราะอย่างที่รับรู้กันมานานแล้วว่า ในทางพฤตินัย เขาและครอบครัว ถือว่าเป็น “เจ้าของ” พรรคการเมืองพรรคนี้มาตั้งแต่ในยุคที่ใช้ชื่อว่า พรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาสารพัดขื่อจนมาถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
แต่ขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้ว ที่สำคัญก็คือ พรรคเพื่อไทยได้ร้างราจากการเป็นรัฐบาลต่อเนื่องกันนานเกือบสิบปีแล้ว ซึ่งจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีที่มาแบบไหน ถูกกล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการ”และด้วยกติกา ที่ระบุว่า “สืบทอดอำนาจ” สารพัด แต่ในความเป็นจริงก็คือ หากฝ่ายตรงข้ามที่ว่านั้นหมายถึง คสช. กลุ่ม “สามป.” และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อยู่ในปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า “สถานะยังมั่นคงแข็งปั๊ก” แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างความปั่นป่วนรายวัน จากพวก “ม็อบสามนิ้ว” มาอย่างต่อเนื่องนานนับเดือนแล้วก็ตาม
แต่หากมองตามสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว ยังไม่มีพลังมากพอ ในทางตรงกันข้ามเท่าที่เห็นภาพตรงหน้ากลุ่มม็อบดังกล่าวกลับเริ่ม “อ่อนแรง” แผ่วลงเรื่อยๆ เนื่องจาก “เล่นใหญ่” เกินตัว โดยมุ่งเป้าหมายไปที่เจตนา “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่สวนทางกับความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ได้ “สร้างเงื่อนไข” เพิ่มเติมที่สามารถนำไปขยายผลปลุกระดมได้โดยง่าย
ที่สำคัญ ได้ยืดหยุ่นดึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญ และได้รับการ “ถอดสลัก” เอาไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็เฉพาะหน้า เพราะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขตาม มาตรา 256 ที่น่าจะเสร็จเรียบร้อยไม่เกินเดือนมกราคมปีหน้า เพื่อกำหนดรูปแบบ ส.ส.ร. ก่อนที่จะเดินหน้าตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าปีครึ่ง ถึงสองปี
วกกลับมาที่พรรคเพื่อไทยที่สถานะในปัจจุบันเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งก็ต้องยอมรับกันว่า ผลงานในสภาช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงขณะนี้ยัง “ไม่โดดเด่น” อาจเป็นเพราะติดที่ระดับแถวหนึ่ง และแถวสองสอบตก ไม่ได้เป็น ส.ส. เท่าที่เห็นอยู่ในเวลานี้ ส่วนใหญ่ในระดับปกติถือว่าเป็น “มวยรอง” ประเภทโนเนม แต่เมื่อสถานการณ์บังคับให้ต้องเล่นบทหลัก ผลถึงได้ออกมาแบบที่เห็น
ขณะเดียวกัน ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยแบบ “ยกชุด” ในแบบที่เห็นว่า “คุณหญิงอ้อ” เข้ามาปฏิวัติ ยึดพรรคอีกรอบ มีการรื้อทีมบริหารกันแบบเหี้ยน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ “โละทีมเจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ออกไป และนำไปสู่การยกทีมลาออกแบบ “ลาขาด” ดังที่ทราบกันดีแล้ว และอีกไม่นานเชื่อว่าจะมี “ไหลออก”อีกชุดใหญ่ เนื่องจากพวกที่เป็น ส.ส.ยังต้องรอให้มีการเลือกตั้งใหม่เสียก่อน เพราะหากลาออกตอนนี้ จะต้องพ้นสภาพไปด้วย จึงต้องรอไปก่อน
กรณีที่เกิดขึ้น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกมาโพสต์ ตัดพ้อต่อว่า ในทำนอง “ทิ้งกัน” ไม่รักษาอุดมการณ์อะไรประมาณนั้น แต่ยังฝันว่าอีกไม่นานพรรคเพื่อไทย จะกลับมายิ่งใหญ่ ซึ่งหลายคนก็ได้แต่มองว่า “ฝันกลางวัน”
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวที่เขาลงทุนโพสต์จดหมายเขียนด้วยลายมือส่งถึงชาวเชียงใหม่ ให้ช่วยกันสนับสนุนผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่ลงสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ. ถือว่าเป็นการ “เดิมพันหมดหน้าตัก” เพราะมากันทั้งครอบครัวก็ว่าได้
หากติดตามความเคลื่อนไหวทั้งในพื้นที่หาเสียง ก็จะเห็นทั้ง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ สามีของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ “เจ๊แดง” ขณะที่ นายทักษิณ ก็ขนมาทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการลงรูปคู่ออดอ้อนกันอย่างเต็มที่ ขณะที่ฝ่ายตรงข้าม นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่ได้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ขึ้นเวทีช่วยปราศรัยหาเสียง ความหมายก็คือ เหมือนกับว่า นายทักษิณ ลงมาชนกับ นายจตุพร เป็นหลักมากกว่า เพราะมีการโจมตีกันแรงๆ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว การเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยกกันมาทั้งครอบครัวคราวนี้ มันก็เหมือนกับการ “ทุ่มเดิมพันหมดหน้าตัก” เนื่องจากแพ้ไม่ได้ โดยเฉพาะการตรึงฐานเสียงบ้านเกิดที่เชียงใหม่ และแม้ว่าจะรู้ดีว่าหากชนะ ก็มีแต่เสมอตัว แต่หากแพ้ขึ้นมาก็ต้องบอกว่า “เสียหายหนัก” แต่ก็ต้องออกมา เพราะสถานการณ์ไม่สู้ดี เนื่องจากรายงานค่อนข้างตรงกันว่า “ทีมเพื่อไทย” ยังเป็นรอง ดังนั้น ยิ่งต้องลุยหนักกว่าเดิมอีก !!