“ปวิน” ฉะ “ประวิตร” อีกแล้ว คราวนี้ถึงขั้นขุดคุ้ยชีวิตรัก “ต่างสี” หลังแฉ “ทราย” ปิดบาร์ให้สตาฟฟ์และแกนนำ “เสี่ยบุ๊ง” เล่านาทีเบรกแตก ยอมรับเป็นคนตะโกนหน้าร้าน “ดร.สุวินัย” ด่า พวกเด็กบ้า! “ปฏิวัติกำมะลอ 2563”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ผู้ลี้ภัยคดีการเมืองในประเทศญี่ปุ่น โพสต์ข้อความ ทั้งเย้ยและหยัน แฉตั้งแต่เรื่องในอดีตถึงปัจจุบัน ระบุว่า
“รักที่ดีที่สุด อิอิ #ป #ประสาทแดก #หิวแสง #อีดอก #SelfImportant #ชอบถ่ายรูปกับอำมาตย์แล้วอวด #ชอบอวดบัตรเชิญจากสถานทูต #ชอบอวดอีเมล์จากโปรเฟสเซอร์ฝรั่ง #ชอบอวดเมียสลิ่ม #รักไร้สี #กินสลิ่มแทนข้าว #รายงานข่าวโดยไม่ทำการบ้าน #กะเทยขำ”
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000022005...
พร้อมลงภาพคู่ สวีตหวานของ “ประวิตร” กับแฟนสาวประกอบด้วย
ทั้งนี้ จากกรณีที่ นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสประจำข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ ได้โพสต์ภาพวานนี้ (2 ธ.ค. 2563) โดยระบุว่า “ทราย เจริญปุระ ปิดบาร์แห่งหนึ่งใกล้ที่ชุมนุมห้าแยกลาดพร้าว ให้สตาฟฟ์และแกนนำพักผ่อนและดื่ม” จากนั้นโดนรุมต่อว่า จึงมีการแก้ไขด้วยการตัดคำว่า “แกนนำ” ออก และทำการเซ็นเซอร์ภาพ
ล่าสุด (3 ธ.ค. 2563) นายประวิตร ได้ชี้แจงถึงการลงภาพดังกล่าวว่า ...
คำชี้แจงเรื่องรูป :
หลังจากที่ผมโพสต์รูปบาร์แห่งหนึ่งในละแวกห้าแยกลาดพร้าว เมื่อคืนไปได้พักหนึ่ง โดยระบุว่า เวลา 8.45 pm ซึ่งเป็นเวลาที่ผมไปถึง มีการปิดบาร์แห่งนี้โดยคุณทราย เจริญปุระ เพื่อให้สตาฟฟ์และแกนนำพักผ่อนและดื่ม
ปรากฏว่า 40 กว่านาทีผ่านไป ระหว่างที่ผมนั่งดื่มพูดคุยกับ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่โต๊ะในร้านโต๊ะหนึ่ง ซึ่งร้านยังรับแขกทั่วไป จนผมจะเดินทางออก ก็มีผู้ที่บอกผมว่าเป็นคนที่อยู่ในรูปที่ผมเผยแพร่เดินมาหาผม บอกว่าไม่พอใจที่ผมถ่าย มีสิทธิอะไร และขอให้ลบรูปทิ้ง โดยอ้างว่าแม้ผมจะได้ปิดหน้าตาโดยสีก็ยังดูออกว่าเป็นพวกเขา แม้ผมเห็นต่าง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขีดทับใหม่อย่างในรูปที่เห็น รวมถึงขีดทับภาพบนผนัง เพราะคนเหล่านั้นบอกว่าดูออกว่าเป็นร้านไหน และอ้างเรื่องความปลอดภัย
แม้ผมจะไม่ได้สนใจชื่อร้านและไม่ได้ระบุแต่แรก ผมก็ตัดสินขีดทับบรรดารูปบนผนังด้วย ส่วนคำว่า “แกนนำ” ผมตัดออกเพราะว่าจนถึงเวลานั้น ก็ยังไม่เห็นมีแกนนำ ซึ่งข้อมูลต่างจากที่ผมได้รับจากทางพนักงานที่บาร์แห่งนี้
และผมก็ทั้งทวีตและโพสต์ใหม่เพื่อยืนยันถึงสิทธิในการเสนอข้อมูลตรงนี้ มิใช่เพราะกลัวอะไร แต่เพื่อความแม่นยำของข้อมูลและความสบายใจของผู้ปรากฏในภาพว่าดูอย่างไรก็ดูไม่ออก
อนึ่ง มีการตะโกนเสียงสุดเสียงด่าใส่หน้าผมหน้าร้าน โดยคนที่ตะโกนเข้าใจว่า คือ เสี่ย “บ.” ซึ่งยืนอยู่ติดตัวผมว่า: “เหี้..” “ค..ย” “สัตว์” ระหว่างการโต้แย้ง (ผมไม่แน่ใจว่าคนตะโกนดื่มแอลกอฮอล์ไปหรือไม่ ไม่ได้มีโอกาสตรวจวัด แต่ผมไม่ได้ดื่ม) แต่ผมก็นิ่ง ใจเย็น และมิได้ต่อความ นอกจากยืนกรานว่าหน้าที่สื่อไม่ใช่พีอาร์หรือติ่งของฝ่ายใด ไม่ใช่ fc หรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มใด สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและพยายามตั้งคำถามกับทุกฝ่าย
ส่วนรูปที่เห็น ผู้ใดอยากจะตีความว่าเช่นไรก็แล้วแต่มุมมอง ไม่ว่าจะบวกหรือลบ ซึ่งย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพทางความคิดของผู้นั้น ซึ่งก็ปรากฏว่า มีการตีความไปหลากหลายในช่วง 24 ชม.ที่ผ่านมา
หน้าที่ผมคือเสนอความจริงต่อสาธารณะ ตั้งคำถามอย่างเท่าทัน ด้วยความเชื่อมั่นในความโปร่งใสและควรต้องตรวจสอบได้ของทุกกลุ่มสาธารณะในสังคม
ปล. ขอบคุณ ส.ส.พรรคก้าวไกล ผู้นั้น ที่พยายามไกล่เกลี่ยอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปกว่านั้น เพราะตอนนั้นมีคนกลุ่มนั้นประมาณ 10 กว่าคนอยู่รอบๆ ผม
ถึงกระนั้น นายประวิตร ก็ยังโดนรุมต่อว่าในโพสต์ดังกล่าว มีทั้งการถามถึงวัตถุประสงค์ที่ลงภาพ ยัดเยียดให้เป็นสลิ่ม ไร้มารยาท ไม่มีจรรยาบรรณสื่อ ฯลฯ (ผู้จัดการออนไลน์)
ขณะเดียวกัน นายปกรณ์ พรชีวางกูร นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและท่อน้ำเลี้ยงม็อบราษฎร โพสต์เฟชบุ๊กตอบโต้นายประวิตร กรณีโพสต์ภาพอ้างเป็นทีมงานของ ทราย เจริญปุระ ได้ปิดบาร์บริเวณห้าแยกลาดพร้าวเพื่อดื่มกินกันในช่วงที่มีการชุมนุมว่า
“กุจะเล่าเรื่องประวิตรให้ฟัง เมื่อคืนมันแอบถ่ายรูปเพื่อนๆ กุในร้าน Highland Café แล้วมันก็โพสขึ้น FB กับทวิต ว่าทรายเหมาร้านนี้ให้แกนนำกับสตาฟพักผ่อนกับ “ดื่ม” ซึ่งในความเป็นจริง ร้านนี้เป็นพวกกุเหมากันเอง ไว้ให้พวกน้องๆ สตาฟมาหลบแดดแดกข้าว ไม่มีการเลี้ยงLกฮใดๆ ทั้งสิ้น แล้วตอนหลังทรายมันก็ตามมานั่งแปบนึง แล้วก็ออกไป
พอกุเห็นมันโพสต์ กุรีบวิ่งมาจากหลังเวที มาถามมันต่อหน้าว่าโพสต์แบบนี้ทำไม คนพวกนี้คือคนของกุ มันตอบกุว่าเป็นสิทธิ์ของมัน มันเป็นสื่อ มันสามารถบอกได้ว่าแกนนำกับทีมงานอยู่ตรงไหนทำอะไร
กุถามย้ำ 3 รอบ มันก็ตอบแบบเดิม 3 รอบ แล้วมันก็ยืนยันว่าไม่ลบ เป็นสิทธิ์ของมัน มันเป็นสื่อ จะทำอะไรก็ได้ แล้วมันก็แถเต็มไปหม จนสุดท้าย กุก็บอกมันว่ามึงเลิกบิดภาษาได้แล้ว XXX ก็ออกจากปากกุเพียบ กุกำลังชั่งใจว่าจะหวดหน้ามันดีมั้ย ไอ้เท่าก็มาห้ามกุเอาไว้แล้วกันประวิตรออกไป
เรื่องแม่งก็ตามนี้ ใครจะว่ากุถ่อยกุก็ยินดีน้อมรับ แต่ในฐานะจ่าฝูง กุก็ต้องปกป้องคนของกุเช่นกัน ล่าสุด มันโพส FB ชี้นำในทำนองว่ากุเมา แต่ในความเป็นจริง ไอ้...กุแดก Lกฮ ไม่ได้ เพราะเพิ่งทำหัวมาแล้วหมอสั่งห้ามเด็ดขาด” (จากแนวหน้า)
ด้าน รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์ นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย และอดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ขบวนการปฏิวัติกำมะลอ 2563
เนื้อหาระบุว่า “#คนพวกนี้ทำร้ายจิตใจผู้คนในสังคมนี้ โดยไม่เลือกฝ่ายมากเกินไปแล้ว
คุณประวิตร โรจนพฤกษ์ เป็น “สื่อแดง” ตัวพ่อที่ด่า คสช. มาโดยตลอด แบบเปิดหน้าชกชนิดไม่เกรงใจและเกรงกลัวด้วยซ้ำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
แต่พอคุณประวิตรลงภาพในบาร์ภาพนั้นภาพเดียว กลับถูกทัวร์ลงเฉยเลย
ก่อนหน้านี้ คือ อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ที่โดนทัวร์ลงเพราะแค่ออกมาเตือนอย่างมหามิตร
นี่ยังไม่นับคนดังคนอื่นๆ ที่โดนแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน
เตือนก็ไม่ได้ ... เอาภาพที่เป็นลบมาลงก็ไม่ได้ทั้งที่เป็นภาพจริงมิใช่ภาพตัดต่อ ...บีบบังคับข่มขู่คนดังทุกคนให้เลือกฝ่ายตัวเองเท่านั้น ฯลฯ
สังคมเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ธาตุแท้ของม็อบนี้ รวมทั้งเครือข่ายที่หนุนม็อบนี้อยู่เบื้องหลัง และคนบงการเป็นคนประเภทใดกันแน่
#ม็อบที่เอาแต่ใจตัวเอง ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลทุกเรื่อง
#เครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังที่ทำตัวเป็นอีแอบ ขี้ขลาด และเชียร์ “พวกเด็กบ้า” ให้ออกไปสู้เพื่อทำตัวเองให้พินาศย่อยยับ... ทั้งๆที่ “พวกเด็กบ้า” พวกนี้น้อมรับความคิดความเชื่อที่เป็นยาพิษของพวกคุณมาทั้งชุดแท้ๆ
#คนบงการ ที่ตอนนี้ไปที่ไหนก็โดนชาวบ้านร้องเพลง “หนักแผ่นดิน” ขับไล่ทุกที่ จนหน้าเจื่อนชัดเจน เกิดอาการเริ่มเสียเซลฟ์ หวั่นไหวภายในจิตใจอย่างชัดแจ้ง
ขณะที่ #คนบงการอีกคน ก็เอาแต่มุดอยู่หลังฉาก โพสต์ข้อความปลุกระดมผู้คนไปวันๆ โดยตัวเองกระหยิ่มยิ้มย่องว่า ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่าใครแน่ๆ ใน #ขบวนการปฏิวัติกำมะลอ 2563
คนพวกนี้คงไม่คาดคิดหรอกว่า “เรื่องเล่าลวงโลก” ของพวกเขาที่ปั้นแต่งบิดเบือนเรื่องความเลวร้ายของสถาบันฯและความสูงส่งของคณะราษฎร ที่ก่อการปฏิวัติ 2475 ที่อุตส่าห์ทุ่มเททำมาเป็นสิบๆ ปีนั้น
#มันกำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตาพวกเขา ... ดุจปราสาททราย”
แน่นอน, สิ่งที่น่าจับตามองนับแต่นี้ ก็คือ เรื่องราวฉาวโฉ่ของม็อบราษฎร 2563 เนื่องจากพักหลัง เห็นได้ชัดว่า คุมกันเองไม่อยู่ และคุมตัวเองไม่อยู่ ทั้งยังหลงลำพองในตัวเอง ของแกนนำ ว่า เรียกร้องประชาธิปไตย แล้วทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจใครเดือดร้อน ไม่สนใจความเห็นต่าง ไม่สนใจเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยมีนักการเมืองบางกลุ่ม หนุนหลัง ไม่ว่าจะทำผิดกฎหมาย หรือ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน อย่าง กรณีปิดถนน และซ้ำเติมเศรษฐกิจ เห็นได้ชัด
สิ่งเหล่านี้ กำลังเป็นเงาตามตัวม็อบราษฎร และกำลังสะท้อนภาพให้เด่นชัดขึ้นทุกวันในสายตาสาธารณชน และยิ่งนานวันเข้า ไม่เพียงเริ่มหมดมุกที่จะไปต่อ เพราะเลยเพดานก็แล้ว แต่ประชาชนคนไทย ก็ยังไม่ตอบรับ ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ และคาดหวังว่า ประชาชนจะลุกฮือ ขึ้นมาร่วมกับม็อบราษฎร
และไม่เพียงเท่านั้น นับวัน ม็อบราษฎร ยิ่งจำกัดตัวเอง อยู่แต่เพียงผู้ที่เห็นด้วยกับพวกเขาเท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ใครตำหนิติติงอะไร ไม่เลือกว่า เป็นฝ่ายเดียวกันหรือไม่ พวกเขาจะจัดทัวร์ลงทันที จนเวลานี้คนที่หวังดีจริงๆ แทบไม่มีใครสนใจแล้ว นอกจากคนที่ต้องการหลอกใช้
เหนืออื่นใด แม้แต่เรื่องสำคัญและอ่อนไหวที่สุด อย่างเงินบริจาค ที่นอกจาก พวกท่อน้ำเลี้ยงม็อบ และแกนนำม็อบจะไม่ยอมชี้แจง หรือ ทำให้โปร่งใสแล้ว พฤติกรรมที่ดูเหมือนทำตัว “เสี่ย” ขึ้นทุกวัน ก็อาจทำให้คนที่บริจาคเงินร่วมต่อสู้คิดได้เหมือนกันว่า นั่นมันเงินฉันหรือไม่
หรือว่า ไม่สนใจว่า คนบริจาคจะคิดอย่างไร เหมือนกับไม่สนใจ ว่าคนหวังดี เขาเตือนอะไร ก็คงต้องนับถอยหลังถึงจุดจบได้เลย ไม่เชื่อก็ลองดู!!!