เปิดรายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ประยุทธ์” อยู่อาศัยในบ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หลังเกษียณราชการทหาร เป็นการใช้สิทธิตามระเบียบของกองทัพบก ในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูง รวมทั้งเป็นการจัดที่พักให้ผู้นำประเทศ ให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย มีความพร้อมปฏิบัติภารกิจ ไม่ใช่เป็นการรับประโยชน์จากหน่วยงานราชการโดยมิชอบ
วันนี้ (2 ธ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย ในคดีที่มีผู้ร้องส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าด้วยความเป็นรัฐมนตรีของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ กรณที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงพักอยู่ในบ้านพักทหาร หลังจากเกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยมีรายละเอียดการอ่านคำวินิจฉัยดังนี้
วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย ในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าด้วยความเป็นรัฐมนตรีของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 ประกอบมาตรา 160 อนุ 5 และ มาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5 ประกอบมาตรา 186 วรรค 1 และมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3 หรือไม่ เจ้าหน้าที่วันนี้มีใครมาบ้าง
กราบเรียนศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กระผม นายสรรักษ์ เลี่ยมสุวรรณ นักวิชาการคดีรัฐธรรมนูญชำนาญการ ขอนำเรียนการมาศาลของคู่กรณี ดังนี้ ฝ่ายผู้ร้องประธานสภาผู้แทนราษฎร มอบหมายให้ นายเจษ อนุกูลโภคารัตน์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประสานการเมือง รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนมาศาล ฝ่ายผู้ถูกร้อง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พลตรี วิระ โรจนวาศ เป็นผู้แทน มาศาล บัดนี้ทุกฝ่ายพร้อมรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยแล้วครับ
ศาลจะอ่านคำวินิจฉัยที่ 29/2563 ระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้อง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกร้อง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้อง ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง สรุปได้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 55 คน เข้าชื่อร้องต่อผู้ร้อง ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการ เป็นที่พักอาศัยของผู้ถูกร้องและครอบครัว ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตามระเบียบที่เกี่ยวข้องบุคคลที่เข้าพักอาศัยและใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาของทางราชการ ต้องเป็นบุคคลที่รับราชการอยู่เท่านั้น การที่ผู้ถูกร้องยังคงใช้บ้านพักของทางราชการทหาร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่เสียค่าเช่า ค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ให้กับทางราชการทหาร จึงเป็นการอยู่อาศัยโดยไม่มีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการรับประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ในธุรกิจการงานปกติ อันเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 186 วรรค 1 ประกอบมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3 ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5 นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 ประกอบมาตรา 160 อนุ 5 อีกด้วย ผู้ร้องจึงส่งคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้อง คำชี้ แจงข้อกล่าวหา คำชี้แจงของผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรค 1 และกำหนดประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 ประกอบมาตรา 160 อนุ 5 และมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5 ประกอบมาตรา 186 วรรค 1 และมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3 หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ผู้ถูกร้อง ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 และเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2557 ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พักอาศัยที่บ้านพักอาคารหมายเลข 253/54 ตั้งอยู่ที่กรมทหารราบที่ 1 ซึ่งบ้านพักหลังนี้ได้มีการปรับโอนให้มีสถานะเป็นบ้านพักรับรองกองทัพบกในปี พ.ศ. 2555 และปัจจุบันเป็นพื้นที่ในความครอบครองดูแลและใช้ประโยชน์ในราชการของกองทัพบก
มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่า ผู้ถูกร้องกระทำการมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5 ประกอบมาตรา 186 วรรค 1 และมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 ข้อ 5 ที่กำหนดว่า ผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกต้องมีคุณสมบัติตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
5.1 เป็นข้าราชการประจำการ สังกัดกองทัพบกที่มีชั้นยศพลเอก
5.2 เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติ และเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้ว
ข้อ 7 กำหนดให้แบ่งประเภทของบ้านพักรับรองกองทัพบก สำหรับผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยตามข้อ 5 ดังนี้
7.1 บ้านพักรับรองกองทัพบกอาคารหมายเลข 70/25 เป็นบ้านพักรับรองของผู้บัญชาการทหารบก
7.2 บ้านพักรับรองกองทัพบกอาคารหมายเลข 1, 4, 31, 107/10, 246/16, 26/18, 385/23, 249/25, 37/37, 492/45, 493/45 และที่กองทัพบกกำหนดขึ้นในภายหลัง เป็นบ้านพักรับรองของผู้บัญชาการชั้นสูงของกองทัพบกและอดีตผู้บังคับบัญชาในข้อ 5.2
ข้อ 8 วรรค 1 กำหนดให้ผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกหมดสิทธิเข้าพักอาศัยในกรณีดังต่อไปนี้
8.1 ย้ายออกนอกกองทัพบก
8.2 ออกจากราชการไม่ว่ากรณีใด
8.3 ถึงแก่กรรม
8.4 เมื่อกองทัพบกพิจารณาให้หมดสิทธิ การเข้าพักอาศัย
ข้อ 8 วรรค 2 กำหนดว่า สำหรับผู้ที่เข้าพักอาศัยตามข้อ 5.2 สิทธิเข้าพักอาศัย ข้อ 8.1 หรือ 8.2 แล้ว กองทัพบกอาจพิจารณาให้มีสิทธิเข้าพักอาศัยเป็นกรณีเฉพาะรายก็ได้
และข้อ 11 กำหนดว่าบ้านพักรับรองที่กองทัพบกกำหนดให้กองทัพบกพิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพักอาศัยตามความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้งาน ประกอบคำชี้แจงของผู้บัญชาการทหารบกที่ชี้แจงว่า ขณะที่ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ผู้ถูกร้องยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบกอยู่ ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยบ้านพักรับรองกองทัพบก โดยอาศัยระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 ข้อ 5 และเมื่อผู้ถูกร้องเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 แต่ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ก็ยังคงเป็นผู้มีสิทธิพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกดังกล่าว เนื่องจากผู้ถูกร้องเคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้แก่กองทัพบกและประเทศชาติและเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้วตามข้อ 5.2 หาใช่อาศัยในบ้านพักรับรองในฐานะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงสถานะเดียวไม่ ซึ่งหากผู้ถูกร้องไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก แม้เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือน ย่อมไม่มีสิทธิพักอาศัยในบ้านพักรับรองตามระเบียบของทัพบกนี้ได้
นอกจากนี้ ข้อ 8 กำหนดให้อำนาจกองทัพบกพิจารณาให้ผู้มีสิทธิพักอาศัยในบ้านรับรอง กองทัพบก ที่หมดสิทธิพักอาศัยด้วยเหตุย้ายออกนอกกองทัพบก หรืออกจากราชการ ไม่ว่ากรณีใดๆ ให้มีสิทธิเข้าพักอาศัยเป็นเฉพาะรายก็ได้ การที่กองทัพบกกำหนดให้อาคารหมายเลข 253/254 เป็นบ้านรับรอง แม้จะเป็นการกำหนดขึ้นภายหลัง ปรากฏตามหนังสือ กบ.ทบ. ด่วนมาก ที่ต่อ กข.0404/1560 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2555 โดยอนุมัติให้ปรับโอนอาคารเรือนรับรองดังกล่าวเป็นบ้านพักรับรองกองทัพบก ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขอกองทัพบกก็ตาม แต่เป็นการกำหนดโดยอาศัยอำนาจตามข้อ 7.2 ให้กระทำได้ ส่วนการที่กองทัพบกสนับสนุนงบประมาณค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาในการใช้งานในบ้านพักรับรอง กองทัพบกพิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุนงบประมาณค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพักอาศัย ตามความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้งาน ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 11 แล้ว นอกจากนี้การให้สิทธิดังกล่าวข้างต้น กองทัพบกได้พิจารณาให้สิทธิแก่บุคคลผู้เข้าเงื่อนไข มีคุณสมบัติในการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก มิใช่ให้สิทธิเฉพาะกรณีผู้ร้องเท่านั้น เห็นได้ว่าการที่ถูกร้องพักอาศัยในบ้านพักรับรองที่กองทัพบกจัดให้ และได้รับการสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา เป็นไปตามดุลยพินิจของกองทัพบก ที่มีอำนาจพิจารณาตามระเบียบกองทัพบก ว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 แล้ว โดยระเบียบดังกล่าวใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 ก่อนที่ผู้ถูกร้องจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรี โดยที่นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญของประเทศ นอกจากจะเป็นหัวหน้าของคณะรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ยังมีฐานะเป็นผู้นำประเทศ ความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งครอบครัวมีส่วนสำคัญ รัฐมีหน้าที่จัดการดูแลให้ความปลอดภัยแก่นายกรัฐมนตรีและครอบครัวตามความเหมาะสมแก่สภาพการ การจัดบ้านพักรับรองที่ปลอดภัย มีความเป็นส่วนตัว สร้างความพร้อมทั้งสุขภาพกายและจิตใจ ในการปฏิบัติภารกิจ ในการบริหารประเทศล้วนเป็นประโยชน์ส่วนร่วม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐพึงจัดให้มีที่พำนักแก่ผู้นำของประเทศในขณะที่ดำตำแหน่งกรณีของประเทศไทย แม้ในอดีตรัฐเคยกำหนดให้สถานที่บางแห่งเป็นที่พำนักของนายกรัฐมนตรีในขณะที่ดำรงตำแหน่ง เช่น บ้านพิษณุโลกก็ตาม แต่ในปัจจุบัน การบำรุงรักษายังไม่พร้อมใช้หรือจัดให้มีการขึ้นใหม่ ดังนั้น เพื่อให้นายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำประเทศอย่างได้สมเกียรติ รัฐพึงจัดให้มีที่พำนักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การที่กองทัพบกอนุมัติให้ใช้บ้านพักรับรองกองทัพบกและสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งผู้ถูกร้องเคยได้รับสิทธิตั้งแต่คราวดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน โดยปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบกองทัพบก ว่าด้วยการพักอาศัยในบ้านรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นกฎที่ยังคงบังคับใช้อยู่โดยมิได้ถูกยกเลิกหรือเพิกถอน ประกอบกับกองทัพบกให้สิทธิดังกล่าวแก่ผู้มีคุณสมบัติตามระเบียบนั้น โดยถือเป็นสิทธิที่ของบุคคลอันเนื่องมาจากการดำรงตำแหน่งอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก จึงมิได้เป็นการกระทำที่ทำให้ผู้ถูกร้องได้รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากกองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยราชการ เป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่ปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ในธุรกิจการงานปกติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 186 วรรค 1 ประกอบมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3 ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5
ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ผู้ถูกร้องกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 อนุ 5 การจัดทำให้เป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 หรือไม่ เห็นว่าเมื่อวินิจฉัยว่าการที่ผู้ถูกร้องพักอาศัยบ้านพักรับรองกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกพิจารณาจัดบ้านพักรับรองกองทัพบกและสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาใช้งานในบ้านพักรับรองเป็นไปตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรอง เป็นไปตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ. 2548 แล้ว จึงไม่เป็นกรณีการถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง ไม่เป็นการขอเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดในประการที่อาจจะทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ และไม่เป็นการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชร์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับให้รับได้ ดังนั้นผู้ถูกร้องจึงไม่มพฤติกรรม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานจริยธรรมข้อ 27 ประกอบ ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 และ ข้อ 11 อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 อนุ 5 ซึ่งเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 4 ประกอบมาตรา 160 อนุ 5 และมาตรา 170 วรรค 1 อนุ 5 ประกอบมาตรา 186 วรรค 1 และมาตรา 184 วรรค 1 อนุ 3
ยืนขึ้นนะครับ
ศาลจะอ่านคำบันทึกคำวินิจฉัย นัดฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ ผู้แทนผู้ร้อง ผู้แทนผู้ถูกร้องมาศาล ได้อ่านคำวินิจฉัยที่ 29/2563 ลงวันที่ 2 ธันวาคม พุทธศักราช 2563 ให้คู่กรณีฟังแล้วและให้ถือว่า คำวินิจฉัยได้อ่านโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 ให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้ เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย
เสร็จการพิจารณานะครับ