“ทอน” กลับจากใต้ ก็โผล่ร่วมสังเกตการณ์ม็อบทันที ไม่สนก่อนหน้านี้ถูกคนรักสถาบันต่อต้าน “อดีตบิ๊ก ศรภ.” เชื่อ กรรมปัจจุบันไล่ล่า ไม่ใช่แต่ปางก่อน ชี้ 2-3 ปีมานี้ คนไทยรู้เช่นเห็นชาติ “ติ๊งต่าง-แม่ยก อภิสิทธิ์” เย้ยไปต่อไหวเหรอ?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 พ.ย. 63) เฟซบุ๊กการเมืองไทย ในกะลา ซึ่งเป็นปากกระบอกเสียงของฝ่ายที่อ้างตนเป็นประชาธิปไตย โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะถ่ายภาพร่วมกับผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระบุว่า
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาสังเกตการณ์การชุมนุม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
#ม็อบ14 พฤศจิกา
ข่าวสด : https://t.co/tYo0TSuQia
ขณะเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ “ไม่ใช่กรรมเก่าที่ “ทอน” เคยทำไว้”
โดยระบุว่า “การเดินทางหาเสียงของ ทอน ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนั้น ไม่ใช่กรรมเก่าแต่อย่างไร แต่มาจากกรรมในปัจจุบันนี้เอง
1. ประชาชนที่ออกมาต่อต้าน ทอน นั้น เพราะเห็นว่า มวลชนที่ ทอน สนับสนุนอยู่ในเวลานี้ ไม่เคยรับฟังเหตุผลใครเลย, ไม่เคยให้เกียรติใครด้วย ไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ, ไม่เคารพประเพณีไทย ฯลฯ
ตัว ทอน เอง ก็มักจะประพฤติตัวแบบนี้ ถึงขนาดเขียนเป็นหนังสือหลักฐาน
2. ทอน และ มวลชน ไม่เคยติติงระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่ประชาชนทั่วไปเค้ารู้เรื่องแบบนี้ดี เช่น (1) โกงชาติ (2) การใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้เห็นต่าง (3) ไม่เคารพผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ ไม่เชื่อเรื่องศาสนา และ (4) ไม่ให้ความเคารพต่อสถาบันฯ (มีมากกว่านี้ครับ)
3. ส่วนตัว ทอนเอง กับพวก ก็เป็นแบบเดียวกัน ไม่เคารพสถาบันฯ
ดังนั้น การต่อต้านจากประชาชน จึงเกิดขึ้นตามธรรมชาติจาก คน 4 ฝ่าย คือ (1) คนที่รักสถาบันฯ (2) คนที่ไม่ชอบระบอบทักษิณ (3) คนที่เคารพกฎหมาย มีเหตุมีผล และ (4) คนที่รักวัฒนธรรมประเพณีไทย ไม่ชอบให้เด็กไม่เคารพครู พูดหยาบคาย ไม่มีความละอายเรื่องทางเพศ ไม่มีศาสนา ฯลฯ
คนทั้ง 4 ฝ่ายนั้น อาจจะรวมอยู่ในตัวคนๆ เดียวกันก็ได้ ดังนั้น ไปไหนมาไหนก็ต้องทนหน่อย เพราะประชาชนแบบนี้มีเต็มประเทศไทย เมื่อเคยพูดข้างเดียวโดยไม่ให้คนมาเถียงนานแล้ว คราวนี้จึงต้องทนหน่อย แต่ไม่ใช่กรรมเก่าหรอกครับ
กรรมนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาให้คนรู้เช่นเห็นชาติเมื่อ 2-3 ปีนี้เอง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้ (13 พ.ย.) นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ ติ๊งต่าง เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับ และแกนนำกลุ่มชาวไทยหัวใจรักสงบ แม่ยก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โพสต์ข้อความสั้นๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “คนไทย รักในหลวง ธนาธรไปต่อ ไหวเหรอ”
อย่างไรก็ตาม วันนี้เช่นกัน มีรายงานข่าวว่า ชาวเน็ตได้แชร์คลิปของผู้ที่ใช้เฟชบุ๊กชื่อ Anupong Thammarong ได้ไลฟ์สดขณะขับรถกระบะ นำญาติพร้อมลูกหลานเป็นเด็กๆ ไปจอดรถที่บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใน ต.เกาะปันหยี อ.เมืองพังงา หลังจากทราบข่าวว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวไกล พร้อมทีมงานไปพัก เพื่อวางแผนลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง อบจ.พังงา เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวมีความยาว 20 นาที เริ่มไลฟ์สดตั้งแต่ขับรถกระบะมาตามถนน ก่อนจอดรถหน้าโรงแรมแล้วลงไปตะโกนขับไล่ “ธนาธรออกไป” โดยมีบรรดาเด็กๆ ที่นั่งมาในท้ายรถกระบะร่วมตะโกน “ธนาธรออกไป” ด้วย สักพักหนึ่งมีทีมงานของนายธนาธร เดินออกมาดู และสอบถามที่มาที่ไป ซึ่งเจ้าตัวก็อธิบายว่า มาขับไล่ ธนาธร เพราะสร้างความปั่นป่วนให้กับการเมือง โดยเฉพาะการบอกว่าจะปฏิรูปสถาบัน เพราะตนรักเทิดทูนสถาบันมาก จึงยอมไม่ได้
ขณะที่ทีมงานนายธนาธร ชี้แจงว่า ขอความเห็นใจด้วย เพราะตนก็เป็นเจ้าของบ้านเหมือนกัน แต่เจ้าของเฟซบุ๊กยืนยันว่า ตนยอมรับในสิ่งที่นายธนาธรพูดและทำไม่ได้ เรื่องการเมืองจะอย่างไร ตนไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่อย่ามาเปลี่ยนแปลงสถาบัน (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, นี่คือ สิ่งที่ไม่เกินความคาดหมายของคนที่สนใจข่าวสารการเมือง ว่าไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากนายธนาธร นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ยังคงสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ทั้งตามแนวนโยบายอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่เริ่มแซะไปทีละเรื่อง กระทั่งพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค มาอยู่ใต้ชายคา “คณะก้าวหน้า” และร่วมสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่กลายมาเป็น “กลุ่มราษฎร 63” ในเวลานี้
นั่นเท่ากับว่า เป็นการต่อสู้กับคนไทยทั้งประเทศ ที่ส่วนใหญ่ยังคงรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อให้อ้างว่า จะทำให้ดีขึ้น หรือ ให้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยได้ รวมทั้งขู่ว่า ถ้าไม่ยอมปฏิรูป ก็เหลือทางเลือกเดียวคือ ปฏิวัติ (ปิยบุตร โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้ชัดเจน) ถ้อยคำเหล่านี้ คนไทยไม่ได้โง่ถึงกับแปลไม่ออก วิเคราะห์ไม่เป็น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้นักกฎหมายนักเรียนนอกดีกรีดอกเตอร์มาตีความด้วย
วันนี้ยังดูจิ๊บจ๊อย สำหรับกระแสต่อต้าน หรืออาจพูดได้ว่า เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้ ไม่แน่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ธนาธร กับพวก จะต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ความจริง นี่ยังดีกว่าหลายปีที่แล้ว เพราะหลายปีที่แล้ว ถ้าใครแตะต้องสถาบัน คนๆ นั้น อาจถูกประชาทัณฑ์ หรือ ต้องลี้ภัยเลยทีเดียว นั่นมิใช่เพราะสถาบัน แต่เป็นเพราะคนไทยที่รักสถาบัน ซึ่งเชื่อว่าคนไทยทุกคนรู้เรื่องนี้ดี
เหนืออื่นใด ได้แต่ภาวนาให้การชุมนุมของม็อบราษฎร 63 ไม่ทะลุเพดานเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน” ด้วยวิธีรุนแรงไปมากกว่าที่ผ่านมา และสร้างความคับแค้นใจให้กับคนที่รักสถาบันไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งสถานการณ์ม็อบรุนแรงเท่าใด กระแสต่อต้านและตอบโต้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น และจะเกินกำลังเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดูแลสถานการณ์ได้ เพราะอย่าลืม “อกเขาอกเรา” หรือ “ความอดทนมีขีดจำกัด” อะไรก็เกิดขึ้นได้
สุดท้ายที่ต้องระวังก็คือ มือที่สาม มือที่สี่ และมือที่ห้า จะเข้ามาแทรกแซง ปั่นสถานการณ์ร่วมด้วย ทุกคนรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่จะหยุดยั้งได้อย่างไรต่างหาก ที่ดูแล้ว ยังมองไม่เห็นทาง ตราบที่ยังยึดมั่น “สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส” และหัวเด็ดตีนขาดต้อง “ปฏิรูปสถาบัน” ให้ได้ ให้มันจบที่รุ่นเรา.. เชื่อหรือไม่?