“อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชำแหละ “ม็อบ 3 นิ้ว” ออกมาเป็นชิ้นๆ จนเห็นหมดว่าอะไรเป็นอะไร เหลือแค่ “ทางออกประเทศไทย” เท่านั้น “ทอน-บุตร-ช่อ” ที่ลึกแต่ไม่ลับ ห้าวนักถูก “พุทธะอิสระ” จัดหนัก ม.116 อยู่ที่ “หมอกฎหมาย” จะตายเพราะกฎหมาย หรือไม่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “ทางออกของประเทศ”
โดยระบุว่า “การเมืองไทยมีวิบากกรรม เดินวนเวียนกับม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดงมานับ 10 กว่าปี มาปีนี้ เจอกับม็อบ 3 นิ้ว ม็อบมุ้งมิ้ง ม็อบไร้แกนนำ สารพัดชื่อ ชุมนุมปิดถนนตามที่ต่างๆ
แต่ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้กับการปฏิรูปสถาบันฯ แกนนำผู้ไม่อยากปรากฏตัวไม่รู้จักคนไทยดีพอ ไม่อ่านประวัติศาสตร์ แม้แต่ปรีดีผู้นำการยึดอำนาจ 2475 ยังต้องเอาสถาบันฯไว้ ไม่กล้าโค่นล้ม แต่แกนนำม็อบ 3 นิ้ว บังอาจจาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบันฯ ทำให้คนไทยพลังเงียบทั้งประเทศ ลุกขึ้นมาแสดงพลังเสื้อเหลือง อย่าแตะต้องสถาบันฯ เด็ดขาด
ความจริงรัฐบาลยอมถอยให้จนหมดแล้ว หมดทางถอย อยากเปิดประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายก็เปิดให้ ติดอ่างแต่ให้ลุงตู่ลาออก แผ่นเสียงตกร่องมาตั้งแต่ไล่รัฐบาลจนถึงวันนี้ แต่ลุงตู่ก็ใจแข็งยืนยันว่าไม่ออก ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น
การตั้งกรรมการสมานฉันท์ของสภา อันจะประกอบด้วย 7 ฝ่าย จะได้คำตอบว่าอย่างไร ยื้อเวลา หรือจะแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.แก้รัฐธรรมนูญก็เข้าสู่สภาแล้ว เหลือแต่การพิจารณาในวาระรับหลักการ สุดท้ายก็คงยื่นคำขาด ให้นายกฯเสียสละ ยอมลาออก คำสวยๆ เพื่อประเทศจะได้เดินหน้า ลุงออกแล้วจบหรือ ม็อบมาไกลเกินถอยหลังแล้ว ย่ามใจว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
ผลการหารือของกรรมการสมานฉันท์ จะมีใครยอมรับบ้าง ฝ่ายค้าน ฝ่ายม็อบ หรือแม้แต่ฝ่ายรัฐบาล
รัฐบาลไม่อยากและได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับเด็ก อย่าทำอะไรเด็กๆ ม็อบที่แกนนำไม่กล้าโชว์ตัว แกนนำกลัวมีความผิด มวลชนย่อมอึดอัด หนทางมืดมน จะชัตดาวน์ก็มีพลังไม่พอ เจอแรงต้านสูง ความผิดติดหลังหลายคดีความหลายข้อหา แถมถูกเปิดโปงแผนรับใช้ต่างชาติ ทำให้ศรัทธาลดลง รัฐบาลใช้กลไกตามกฎหมายในการยุติปัญหา เพื่อไม่ให้เหตุการณ์รุนแรง ใครทำอะไรผิดกฎหมายต้องจบที่ศาลตัดสิน
แผนต่างชาติที่แอบยุยงสนับสนุนจะทำอย่างไร ผลเลือกตั้งในสหรัฐฯจะส่งผลดีหรือร้ายต่อเหตุการณ์การเมืองในไทยหรือไม่
แผนขอลี้ภัยก็ถูกเปิดโปง จนสถานทูตต้องออกมาปฏิเสธ
ประเทศมีทางออกอยู่ที่ไหน”
ขณะเดียวกัน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดังที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ เขียนจากใจและประสบการณ์ของทนายผู้ชุมนุมทางการเมือง!
เนื้อหาระบุว่า จากประสบการณ์ที่ผมเป็นทนายความให้กับผู้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองท่านหนึ่ง โดยเฉพาะผู้นำหรือผู้มีบทบาทในการเป็นตัวการ หรือที่เรียกว่า “แกนนำ” ในการเรียกร้องทางการเมืองในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครชนะรัฐบาล หรือกฎหมายเลยครับ
สิ่งที่ผมเห็นและที่ตามมา ก็คือ บุคคลเหล่านั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขึ้นศาลเป็นว่าเล่น เป็นปีๆ เกือบทุกวัน เหมือนศาลเป็นที่ทำงาน ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีงาน ไม่มีเงินจ้างทนายเก่งๆ เดินขึ้นศาลคนเดียว นั่งฟังการพิจารณาคดีเป็นวันๆ อย่างเบื่อหน่าย และเซ็งกับชีวิต กาลเวลาที่เนิ่นนาน จะทำให้ชีวิตไร้อนาคต ไร้ค่า และไร้จุดหมาย.....
ยังไม่นับถึง พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ นะครับที่คอยห่วงใยตลอดเวลา
วิตกกังวลที่สุด !!!!!!!!!!
เมื่อตอนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาคดี ต้องคอยลุ้นกันหัวใจแทบหล่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่ขึ้นปราศรัยบนเวที เพราะข้าฯ คือ “ฮีโร่ ของประชาชน” ประชาชนตบมือให้กำลังใจ สุดยอด 👍🏿
แต่สุดท้าย จบลงที่คุก..!
ผมจึงอยากเล่าให้ฟัง เป็นอุทาหรณ์ครับ เพื่อเตือนสติ สำหรับ “ฮีโร่ ของประชาชน” ทุกคน
เมื่อวันนั้นมาถึง ท่านจะโดดเดี่ยว และเดียวดาย ไม่มีประชาชนเคียงข้างเลย และท่านจะนึกถึงบทความนี้ของผม !
และพูดกับตนเองว่า “ไม่น่าเลย....”
บทความนี้ ไม่เหมาะกับประชาชนที่ไม่มีสติ แต่เหมาะกับสำหรับประชาชนทั่วไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แล้วพิจารณาครับ !
🙏ด้วยความหวังดีครับ🙏
ด้านเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ของพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์หัวข้อ เมื่อห้าวนักงั้นก็จัดให้
เนื้อหาระบุว่า เมื่อวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มิได้จัดรายการไลฟ์สด เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนของ สน.พญาไท มาขอสอบปากคำเพิ่มเติมในกรณีที่พุทธะอิสระให้ทนายไปแจ้งความกล่าวโทษกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพวก ซึ่งตำรวจก็จะนำสำนวนการสอบปากคำไปออกหมายเรียก และหมายจับตามลำดับ
พุทธะอิสระ ก็ต้องขออโหสิกรรมแก่บรรดาแกนนำม็อบล้มเจ้าทั้งหลาย โดยส่วนตัวเราไม่เคยโกธรเคืองกันมาก่อน แต่ที่ต้องมาโรมรันพันตู ต่อสู้กันก็ด้วยอุดมการณ์ของเราต่างกัน ซึ่งถ้าหากพวกคุณๆ ไม่มารุกไล่สถาบันฯอันเป็นที่รักยิ่งของแผ่นดินไทย พุทธะอิสระและลูกไทย ก็คงไม่ต้องมารุกไล่พวกคุณกลับดอก
คุณๆ ทั้งหลายก็อย่าอาฆาตพยาบาท แก่ฉันเลย เพราะเรากำลังทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หากกล้าที่จะก้าวเข้าสู่สมรภูมิ ก็จงอย่ากลัวที่จะมีบาดแผล
อย่างไรก็ตาม วันนี้เช่นกัน ที่ สน.พญาไท นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เปิดเผยหลังเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ตามหมายเรียกในความผิด มาตรา 116 ที่ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีต พระพุทธอิสระ เป็นผู้กล่าวหา
โดย นายปิยบุตร กล่าวว่า สาเหตุที่ตนเองถูกดำเนินคดีเนื่องจากนายสุวิทย์ อ้างถึงการกระทำหลายอย่าง ที่มองว่าเข้าข่าย ม.116 ตั้งแต่บทความเก่า หนังสือและการบรรยายในห้องเรียน สมัยที่ตนเองยังเป็นอาจารย์ใน ม.ธรรมศาสตร์ และการไลฟ์เฟซบุ๊กว่าด้วยเรื่องการนำข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุม มาพูดคุยใน คณะกรรมปรองดองสมานฉันท์
ส่วนของ นายธนาธร และ น.ส.พรรณิการ์ ก็อ้างอิงถึงการบรรยายเรื่องงบประมาณของพระมหากษัตริย์มาใช้ในการดำเนินคดี ซึ่งตนเองมองว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นเรื่องเก่านานกว่า 10 ปี แต่ถูกนำมาโยงเข้ากับเหตุการณ์ในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการอภิปรายด้วยความปรารถนาดี เพื่อหาทางออกแต่กลับถูกมองว่าเป็นความผิดในสายตาของนายสุวิทย์ทั้งหมด และยังไม่เป็นคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะต้องนำเรื่องนี้ไปต่อสู้ในชั้นศาล
นอกจากนี้ ยังได้สอบถาม ผบช.น. ว่า เคยรวบรวมสถิติการดำเนินคดีตาม ม.116 หรือไม่ ว่า ศาลยกฟ้องหรือยกคำร้องไปกี่คดี ซึ่งบางคดีที่ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินเรื่องก็ได้ แต่การกระทำในปัจจุบันนี้เป็นการใช้กฎหมาย ม.116 ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า การหาทางออกให้กับสถานการณ์การเมืองของไทย จำเป็นต้องนำข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ มาพูดคุยในคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งเป็นเวทีปลอดภัย
ส่วน นายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมือง ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ตามหมายเรียกในความผิดมาตรา 116 ว่า สิ่งสำคัญที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหยุดดำเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่าง
“เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเงื่อนไขสำคัญในการหาทางออก หากไม่ลาออกก็จะไม่มีทางหาทางออกได้”
และ ช่อ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ ว่า อาวุธที่รัฐบาลใช้มาตลอดคือการดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง แต่ปัจจุบันอาวุธนี้เปรียบเทียบกระสุนด้าน เพราะการถูกดำเนินคดี ไม่ได้ทำให้พวกเราหยุด แต่กลับยิ่งทำให้ได้รับแรงสนับสนุนและความเห็นใจจากประชาชน แลกกับการเสียเวลาในการทำงานเท่านั้นซึ่งพวกเราจะพิสูจน์ให้เห็นว่า จะสามารถเอาชนะอิทธิพลเถื่อนได้ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองของ “ม็อบ 3 นิ้ว” ที่แกนนำไม่ชัดเจน ว่า คนเบื้องหน้า หรือ เบื้องหลัง เป็น “ผู้นำ” ที่แท้จริง กระทำในลักษณะฝ่าฝืนกฎหมายอย่างท้าทายมาตลอด แม้ว่าจะเป็นการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธ ก็ตาม แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่บังคับใช้กฎหมาย ก็จะถูกเอาผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และขณะเดียวกัน คนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์มากกว่าใคร ต่อให้เป็นการชุมนุมที่อ้างว่า เพื่อประชาธิปไตยก็ตาม ไม่เช่นนั้น ก็จะมีแต่คนแอบอ้างเต็มไปหมด นี่คือ ประเด็น
เหนืออื่นใด คงจะต้องวัดกันระหว่าง ดอกเตอร์กฎหมาย ที่ความรู้ท่วมหัว กับการเอาตัวรอด ซึ่งมักท้าทายกฎหมายอยู่แล้ว ว่าจะเข้าทำนอง “หมอกฎหมายตายเพราะกฎหมาย” หรือไม่ อีกไม่ช้า ก็คงจะได้เห็นกัน
ส่วน “ทางออกประเทศไทย” ก็อยู่ที่คนไทย จะตาสว่าง และรู้ทันเกมต่างชาติ คนขายชาติ ที่หวังประโยชน์ทางการเมือง จากการหลอกเด็กมาชุมนุมครั้งนี้หรือไม่ ถ้าไม่ก็จบกันเท่านั้นเอง