“ปวิน” ด่า “ประวิตร” เสียหาย กรณีเอาสองภาพ “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ล้อมรถมาเปรียบเทียบ หาว่า ชี้นำ เสื้อแดงวันนั้นคือเสื้อเหลืองวันนี้ โดนซัดกลับ เคยชินเป็น “ศาสดาป้อนข้อมูล” เข้าข้างฝ่ายตัวเองทำรุนแรงไม่เป็นไร
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 พ.ย. 63) หลังจากเฟซบุ๊ก Pravit Rojanaphruk ของนายประวิตร โรจนพฤกษ์ เป็นนักข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์ข่าวสดอิงลิช โพสต์ข้อความพร้อมกับรูปภาพเหตุการณ์ล้อมรถของเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ระบุว่า
“แบบนี้เขาเรียกว่า รัก เกลียด หรือคลั่งครับ?
ปล. แปลกนะครับ สองกลุ่มนี้พอใส่ยูนิฟอร์มแล้วของขึ้น ชุดเหลือง เรียกว่า 'เจ้าเข้า' อาจเหมาะกว่า #ป
Is it love, hatred or madness? #WhatHappensinThailand #Thailand
ทันทีทันควัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ลี้ภัยคดี ม.112 ที่ญี่ปุ่น ไม่รอช้า โพสต์โต้ทันที
“เหมือนจะเข้าใจ แต่ประวิตรก็ไม่เข้าใจ บางทีเราคาดหวังให้นักข่าวเมืองไทยฉลาดกว่านี้ in-depth กว่านี้ แต่มันอาจเป็นความฝัน ประวิตรโพสต์อันนี้ทางทวิตเตอร์(โพสต์ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก) เหตุการณ์ทั้งสองนี้ต่างกันเพราะ
1. คนเสื้อแดงไปชุมนุมในวันนั้น แต่มีรถพุ่งเข้ามาชน จึงทำให้เสื้อแดงโกรธและมีปฏิกิริยาอย่างที่เห็น ขณะที่เหตุเกิดเมื่อวาน รถค่อยๆ ขยับไปช้าๆ
2. เสื้อแดงคือคู่กรณีโดยตรงในความขัดแย้งกับรัฐบาล เค้าถูกฆ่านะคะ แต่เสื้อเหลืองนั้นทำเพราะต้องการปกป้องสถาบัน และต้องการกำจัดศัตรูต่อคนที่ตัวเองรัก
3. คนเสื้อแดงประท้วงอภิสิทธิ์และสุเทพเพราะบ่อนทำลายประชาธิปไตย แต่ธนาธรเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน ใช่ ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก แต่ในฐานะสื่อ คุณต้องเข้าใจที่มาของความรุนแรงด้วย
4. คนเสื้อแดงถูกดำเนินคดีจากความรุนแรงนั้น คนเสื้อเหลืองไม่เคยมีใครดำเนินคดีตราบใดที่อ้างว่า ความรุนแรงนั้น เพื่อปกป้องสถาบัน
5. ธนาธรไม่ใช่นายกฯ และไม่เคยสั่งฆ่าใคร
ต่อมา เฟซบุ๊ก Pravit Rojanaphruk โดยประวิตร โพสต์อีกว่า
“นึกว่าจะเลิกคิดถึงกันแล้ว หลังจากบล็อกผมจากกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส คล้ายกับที่กลุ่มไลน์พรรคสุเทพถีบผมออกจากกลุ่มนักข่าว แต่ก็มากล่าวหาผมอีกว่า เสนออะไรไม่ in-depth เลย โดยเฉพาะเรื่อง 2 รูปเปรียบเทียบ แดงล้อมรถอภิสิทธิ์และเหลืองล้อมรถที่เชื่อว่าเป็นรถธนาธร”
ดูเหมือนปวินจะชินกับการทำตัวเป็นศาสดาป้อนข้อมูลสำเร็จรูปให้บรรดาสาวกในรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสแบบไม่ต้องเคี้ยวเอง กลืนได้เลย จนอาจลืมไปว่ามนุษย์นั้นคิดเอง สรุปเองได้ และที่สำคัญพอๆ กับคำตอบ คือการตั้งคำถาม
“ผมเขียนเป็นปริศนาสั้นๆ ให้คนคิดต่อว่า สองรูปมันเหมือนหรือต่างอย่างไร (แค่นี้ก็ดิ้นพราด) เพราะผมไม่เอาความรุนแรง ไม่ว่าจะยกแม่น้ำทั้งเจ็ดจากเกียวโตมาอ้างก็ตาม
ทุกคนโตแล้ว และคงไม่มีใครไม่รู้หรอกว่า อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ส่วนธนาธรไม่ใช่ (ดูข้อ 5 ของปวิน)
ประเด็น ผมคือตั้งคำถามว่า คุณมองดูสองรูปและคิดอย่างไร? ผมไม่ดูถูกสติปัญญาคนว่า คิดแยกแยะเองไม่ได้ และไม่เชื่อในศาสดาผู้ผูกขาดความจริงและความถูกต้อง ดั่งที่ผมเคยตั้งคำถามเขียนในคอลัมน์ว่า รอยัลลิสต์มาร์เก็ต ก็เป็นอีกหนึ่งกะลาใช่หรือไม่อย่างไร >>お元気でな!
https://www.khaosodenglish.com/.../opinion-the-irony-of.../#
ปล. ผมอ่าน 5 ข้อที่ปวินตีความเองแล้ว ดูเหมือนว่าแกจะโอเคกับภาพแรกนะครับ ว่าไหม? #ป”
ด้านเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun โดย ปวิน ก็ไม่ยอมลดละ โพสต์โต้อีกว่า
“ประวิตร เป็นนักข่าวที่มีจรรยาบรรณที่ต่ำตมมาก เสนอข่าวที่บิดเบือน แทนที่จะรับตรงๆ กลับมาแถ ด่าคนโน้นคนนี้เป็นเผด็จการ แต่กลับไม่ให้ดิชั้นวิจารณ์การเสนอข่าวโง่ๆ ของตัวเอง เสร่อ
1. ประวิตร ดูถูกสมาชิกตลาดหลวง เหมือนที่สลิ่มดูถูก บอกว่า ดิชั้นเป็นศาสดา จะป้อนข้อมูลอะไรคนก็เชื่อหมด นี่มันเป็นความคิดสลิ่ม นี่คือไปลดเครดิตคนที่เป็นสมาชิกที่เค้าคิดเป็น เชื่อชั้นสิคะ ถ้าสมาชิกชมประวิตร ประวิตรต้องบอกว่า สมาชิกคิดเป็น แต่ถ้าด่าเมื่อไหร่ จะบอกทันทีว่าคิดไม่เป็น ต้องให้ศาสดาคอยป้อนข้อมูลให้
2. ตั้งคำถามเป็นปริศนาสั้นๆ ไม่ค่ะ มึงชี้นำการเสนอข่าว มึงชี้นำว่า เสื้อแดงวันนั้นคือเสื้อเหลืองวันนี้ ผิดทั้งบริบท ทั้งความหมาย นักข่าวห่วยๆ อีดอก ดิชั้นให้สัมภาษณ์นักข่าวมาทั่วโลกและตัวเองก็เคยเป็นนักข่าว ไม่เคยเจออะไรแบบประวิตร
3. กล่าวหาว่าดิชั้นเห็นชอบด้วยกับความรุนแรง ทั้งๆ ที่ดิชั้นเขียนชัดๆ ในข้อ 3 ของดิชั้นว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก
4. ทุกคนดูการเขียนข่าวเรื่องนี้ก็รู้ว่าประวิตรโง่แค่ไหนในเรื่องการเปรียบเทียบสองเหตุการณ์ ทวิตนี้ถึงโดนแหกในทวิตเตอร์ ยังมีหน้ามีบอกว่า คนมีสติคิดแยกแยะได้ แต่ก็เสือกบอกว่า สมาชิกตลาดหลวงต้องรอป้อนข้อมูลจากดิชั้น พูดแค่นี้ก็รู้ว่าสับสนในตัวเอง โถ ถ้าตลาดหลวงเป็นกะลาอีกใบ คงไม่มีสมาชิกมากกว่า 2 ล้าน และกูขอพูดด้วยความภูมิใจว่า ตลาดหลวงเป็นแรงขับเคลื่อนให้การพูดเรื่องเจ้าเป็นเรื่องปกติชอบธรรม
5. สุดท้าย เราหวังมากๆ กับนักข่าวที่ต้องทันเหตุการณ์และต้องสนับสนุนความยุติธรรม แต่หน้าที่นี้ไม่ใช่ประวิตร เพราะประวิตรเองก็เป็นส่วนหนึ่งของ establishment ขี้อวด ขี้คุย ทูตเชิญไปกินข้าวก็เอามาอวด 3 วัน 8 วัน นักข่าวฝรั่งไม่เคยมีใครเอามาเขียนอวดแบบนี้”
แน่นอน, ที่น่าสนใจก็คือ ทั้ง “ปวิน” และ “ประวิตร” เป็นที่รับรู้กันว่า ทั้งสองคนมีอุดมการณ์ “ไม่เอาเจ้า” ทั้งคู่ หรือ พูดให้หรู เสนาะหูพวกกันเอง ก็คือ ฝ่ายประชาธิปไตย
เพียงแต่ “ประวิตร” เป็นนักข่าว แม้ว่าจะ ไม่เอาเจ้า แต่ก็พยายามที่จะใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ หรือ ไม่สามารถที่จะด่ากราดสาดเสียเทเสียได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่ง ปวิน แม้เป็นนักวิชาการก็กระเดียดไปทางนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้อยากจะเห็นด้วยในเรื่องเดียวกัน ประวิตรอาจต้องรักษาท่าทีที่ไม่เอียงข้างมากนัก หรือ พยายามตั้งคำถาม จนบางครั้ง ก็ถูกตีความสำหรับคนเลือกข้างแล้ว ไปในทางที่ผิด
เช่น เรื่องนี้ ก็อย่างที่ประวิตร บอก ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงทั้งสิ้น ต่อให้เป็นฝ่ายที่ตัวเองเห็นด้วย แต่ถูกตีความจาก “ปวิน” ว่า การยกเอาสองภาพมาเปรียบเทียบ ก็คือ การเห็นว่า ทั้งสองเรื่องเหมือนกัน ซึ่งปวินไม่เห็นด้วย จึงเห็นว่า เป็นนักข่าวที่ตื้นเขิน ไม่ศึกษาที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง
เหนืออื่นใด ที่ต้องพูดถึงสำหรับ “ปวิน” ก็คือ แค่แตะต้องนิดเดียวยังดิ้นพล่านขนาดนี้ แต่ทีตัวเอง อย่าว่าแต่แตะต้องสถาบันเลย ทั้งด่า ทั้งวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียหาย แถมมีแนวคิดที่จะล้มล้างก็ทำไปแล้ว ไม่คิดว่า สถาบันจะเดือดร้อน คนที่รักและเทิดทูนสถาบันจะเจ็บแค้นแทนบ้างหรือ
อย่าลืมว่า ผู้เห็นต่างซึ่งเป็นคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ก็เป็นคน แล้วไม่คิดที่จะให้ค่า ศักดิ์ศรีความเป็นคนบ้างเลยหรือ นักประชาธิปไตยประสาอะไร ถ้าคิดไม่ออก ก็อย่าเพิ่งคิดการใหญ่ใฝ่สูงเลย เพราะเรื่องธรรมดาสามัญแท้ๆ ยังไม่เข้าใจ ไม่พร้อมที่จะรับฟัง ไม่พร้อมที่จะให้ความเป็นธรรม จะเอาตามใจตัวเองให้ได้เหมือนเด็ก จึงได้แต่เก่งบนแผนดินอื่นเท่านั้น”