xs
xsm
sm
md
lg

อย่าดึงสถาบันยุ่ง อบจ.! “ไพศาล” ฮึ่ม รู้ทันเล่ห์ร้าย “อดีตเพื่อนทอน” ชี้ ย้อนแย้ง สู่ วิบากกรรม “อานนท์” นี่แค่เริ่ม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ในหลวงและพระราชินี ท่ามกลางพสกนิกรเฝ้ารับเสด็จฯ จากเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล
“ลุงไพศาล” ฮึ่มใส่นักการเมือง หวังใช้เล่ห์ร้าย ดึง “สถาบัน” ไปยุ่งกับการเลือกตั้ง อบจ. ที่มีกลุ่ม “ธนาธร” ลงสนามด้วย “อดีตเพื่อน” ชี้ “ทอน” พฤติกรรม “ย้อนแย้ง” จนสู่ วิบากกรรม “อานนท์” โว “3 นิ้ว” ไม่แผ่ว แค่เริ่มต้นยังขนาดนี้

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรรณ รองนายกรัฐมนตรี) โพสต์หัวข้อ “อย่าดึงสถาบันไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง อบจ.”

โดยระบุว่า “การเลือกตั้งมีแพ้มีชนะ หากโหนสถาบัน ไปเป็นฝักฝ่ายของตัวเองในการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น จะเป็นการทำลายสถาบันอย่างอำมหิตเช่นเดียวกับเนปาลโมเดล
การที่นักการเมืองเส็งเคร็งโหนเจ้า สร้างสถานการณ์ล้อมกรอบนายธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) แล้วปลุกระดมว่า อย่าเลือก อบจ. ที่เป็นพรรคพวกของนายธนาธรนั้น

ภาพ นายไพศาล พืชมงคล จากแฟ้ม
เป็นเล่ห์ร้ายอำมหิตที่ดึงสถาบัน ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่น!!!!

พี่น้องประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องรู้เท่าทันอุบายนี้!!!!

การเลือกตั้ง อบจ.นั้น ใครจะแพ้ใครจะชนะเป็นเรื่องการเมืองระดับท้องถิ่น ไม่เกี่ยวกับสถาบัน และพระองค์ท่านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย”

ขณะเดียวกัน นายพิชิต ไชยมงคล อดีตโฆษกกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และอดีตเพื่อน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวในสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ด้วยกัน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ย้อนแย้ง”

โดยระบุว่า “ธนาธรลงพื้นที่หลายจังหวัด พอไปถึงก็บอกว่าจังหวัดนี้มีศักยภาพโน่นนี่นั่น เราสามารถเอาภาษีมาทำอะไรได้บ้าง เราต้องทำอะไรบ้าง

มองเหมือนดี

แต่ธนาธรไม่เชื่อการกระจายอำนาจเหรอ ทำไมไปคิดแทนเขา ธนาธรไม่เชื่อท้องถิ่นจัดการตัวเองเหรอ ทำไมไปคิดแทนเขา หรือต้องประชาธิปไตยรวมศูนย์

หรือต้องคิดตามธรถึงจะ ก้าวไกล”

ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 63 นายพิชิต โพสต์ข้อความ หัวข้อ

ภาพ นายพิชิต ไชยมงคล กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
“วิบากกรรมที่เลือกเอง”

เนื้อหาระบุว่า “มีคนรัก ก็มีคนเกลียดเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไป การหลงในคะแนนและทุ่งหญ้าแห่งความรักของค่ายก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการเคลื่อนมวลชน

จะปฏิเสธเช่นไร การก่อตัวของคนรุ่นใหม่จนลามมาถึงทุกวันนี้ เริ่มจากการปลุกระดมคนลงถนนของพรรคอนาคตใหม่ (อดีต) ทั้งตอนธนาธรถูกศาลตัดสิทธิ์ทางการเมือง จนนำมาสู่การแถลงข้อเท็จจริงนอกศาล การจัดแฟลชม็อบ ที่แยกปทุมวัน จัดแถลงที่จตุจักร ทั้งหมดทั้งมวลเป็นจุดเริ่มต้นอุ่นๆ ก่อนมาถูกเทกโอเวอร์ภายหลัง (หรือแอบก็ไม่ชัด) แต่ภาพจำของคนส่วนหนึ่ง มันเชื่อมโยงมาจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้

ก็อีกนั่นละ วิบากกรรม ครั้งนี้เริ่มต้นเพราะกุนซือกฎหมาย ปิยบุตร (แสงกนกกุล) ล้วนๆ ครับ ฝีมือระดับเจ้าสำนักสังเวยชีวิต (การเมือง) การันตี

นอกเหนือจากปิยบุตรจะเทยกแก๊งอนาคตใหม่แล้ว ยังออกมากางตำราประวัติศาสตร์ต่างประเทศ ขู่ถึงการเปลี่ยนแปลง ขู่ถึงการปฏิวัติ โน่นนี่นั่น แบบน่ากลัว แต่ที่พูดนะ พูดบนโพเดียมทั้งนั้น

แม้กระทั่งตอนนี้ คณะก้าวหน้า ออกรณรงค์เลือกตั้งท้องถิ่น นำโดย เอก ธนาธร ถูกประชาชนต้อนรับด้วยการขับไล่รายจังหวัด ก็ยังไม่เห็น ปิยบุตร เดินลงพื้นที่หาเสียงช่วยใครเลยครับ ปิยบุตร เลยไม่โดนสัมผัสการถูกโห่ไล่ แบบที่ เอก โดนในตอนนี้ และผมเชื่อว่ามันจะขยายวงกว้างไปทุกจังหวัดต่อเนื่อง

กระแสนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ก็น่ากลัว เพราะมันถูกผูกติดภาพจำกับการชุมนุมที่เลยธงร่วมไปด้วยเป็นเนื้อเดียวกัน (เห็นจากคนที่ไปตะโกนตาม ธนาธร) มันจะไม่ใช่ความขัดแย้งทางการเมือง เพราะหากเป็นแค่ความขัดแย้งทางการเมือง มันต้องเคารพการหาเสียง แต่มันจะเป็นความเกลียดชังอันผนวกรวมการชุมนุมเข้ามาร่วมด้วย (ผมเคยเขียนว่า การชุมนุมมันยกระดับเลยความขัดแย้งทางการเมืองสู่ความเกลียดชัง) ที่การเมืองฝั่งตรงข้ามจะเอามาผสมโรงด้วย เรียกว่า “ทอดกฐิน” กันเลย

วิบากกรรมทั้งหลายนี้ มาจากการวางแผนที่ผิดคิดหลงมวลชนและคะแนนเสียง (อันนี้ผมฟันธงเอง) ซึ่งพวกเขาเลือกเองนั่นละ อยู่ที่ว่าจะดันทุรังเลือกแนวทางสุดโต่งแบบชิงสุกก่อนห่าม หรือจะเลือกสรุปบทเรียน หรือขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ต่อไป

อ่าน 3 ก๊กแล้ว นึกถึงตัวละคร 2 ตัวที่สัมพันธ์กัน

ตั๊งโต๊ะ คิดการใหญ่หวังเป็นฮ่องเต้ อันตั๊งโต๊ะมีบุตรบุญธรรมเป็นผู้ใกล้ชิดดูแลชีวิต คือ ลิโป้

แต่สุดท้ายบุตรบุญธรรมแบบ ลิโป้ ก็สังหาร ตั๊งโต๊ะ ถึงแก่ความตาย

ใครเป็นใครดีครับ” (จากแนวหน้า)

ภาพ นายอานนท์ นำภา จาก MGR PHOTO
ด้าน นายอานนท์ นำภา แกนนำ กลุ่มราษฎร 63 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ รัฐพยายามบอกว่าราษฎรอ่อนแรงลง”

โดยระบุว่า “รัฐก็ลองทำอะไรโง่ๆ จังๆ อีกสักครั้งนึงสิครับ จะได้รู้ว่า ที่เคยเห็นมันยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการชุมนุมไม่เชื่อลองถามคนข้างๆ ดู ถามลูกหลานของท่านดู ว่าเขาไปม็อบมาหรือเปล่า

จุดสูงสุดของการชุมนุม ยังไม่เกิด เพราะเงื่อนไขและปัจจัยยังไม่สุกงอม ซึ่งเราไม่ได้รอการสุกงอม แต่เราจะขย่มไปเรื่อยๆ เมื่อยก็พัก และก็มาขย่มอีกครั้ง
นี่แค่ 3 เดือนของการเปิดประเด็นเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

นี่แค่การสลัดความกลัวออกมาเดินตามหาอนาคต
และนี่แค่การเริ่มต้น !!!”

แน่นอน, ประเด็นของ “ลุงไพศาล” ก็อาจมีส่วนเกิดขึ้นได้ในทางการเมือง เพราะที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยเห็นการเล่นการเมืองที่ทรงคุณธรรมมากนัก ส่วนใหญ่ หวังเอาชนะกันอย่างเดียว จึงไม่แปลกที่จะมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันเป็นว่าเล่น มีการใส่ร้ายป้ายสีกันทางการเมือง รวมถึงเล่ห์เหลี่ยมกลโกงต่างๆ นานา ก็ขนกันออกมาใช้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ไปจนถึงวันเลือกตั้ง การนับคะแนนเลยทีเดียว ประเด็นนี้จึงปฏิเสธไม่ได้

มาถึงประเด็นของ “พิชิต” เพื่อนทอน ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะอย่าลืมว่า นายธนาธร นายปิยบุตร รวมถึง “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ล้วนเป็นคนดังที่มีพะยี่ห้อ “ปฏิรูปสถาบัน” ติดตัวมาตั้งแต่ต้น ที่เข้ามาทำงานการเมือง ก่อนที่จะมีม็อบเยาวชนปลดแอกด้วยซ้ำ จนภาพจำ ก็คือ คนที่เริ่มปลุกม็อบลงถนนคนแรกใน พ.ศ.นี้นั่นเอง

ดังนั้น คนที่จงรักภักดีต่อสถาบันที่แท้จริง หรือ อยู่ในสายเลือด อาจไม่มีการวิเคราะห์อะไรอย่างลึกซึ้ง ว่า ทำกับธนาธร แล้วไปกระทบกับอะไร จะเสียหายอย่างไร

ดูแต่สิ่งที่เขาโต้ตอบกับ นายธนาธร ที่ระยอง เขาแทบไม่สนใจว่า ธนาธรจะต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพอย่างไร ขอแต่อย่าแตะต้องสถาบันก็พอ อย่าแตะต้องสถาบัน คำพูดที่ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก มันไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองเลย ประเด็นนี้ ก็ต้องแยกแยะเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ถ้านายธนาธร กับม็อบราษฎร 63 ยังคงยืนหยัดเป็นเนื้อเดียวกันในการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน” ต่อสาธารณะ ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผู้ออกมาขับไล่ ต่อต้าน เพราะพวกเขาก็ซึมซับรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อ ที่มีข่าวแทบจะรายวัน จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จึงออกมา จริงอยู่การชักนำของหน่วยงานรัฐ ก็อาจมีบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่จัดตั้งอย่างแน่นอน หรือแม้ถูกจัดตั้ง ก็ยังมีใจที่ต้องการปกป้องสถาบัน แล้วจะเรียกว่าอย่างไร ถ้าไม่ใช่กลุ่มผู้จงรักภักดี?

สุดท้าย เมื่อม็อบราษฎร 63 ยังคงประกาศสู้อย่างหนักแน่น ไม่มีวันถอย ไม่มีวันแผ่วอยู่อย่างนี้ คนที่ถือว่า เกี่ยวข้องอย่างสูงในสายตาของชาวบ้าน ก็นับวันจะไปไหนมาไหนยากลำบากขึ้น อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ และคงยากที่จะให้ใครช่วยได้ อย่างอยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ต่อให้ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงก็ตาม

หรือว่า ยิ่งดี จะได้นำไปโทษเผด็จการอำนาจนิยม ชอบใช้ความรุนแรง..ลองเสี่ยงดูบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน เพราะให้คนอื่นเสี่ยงแทนมานานแล้ว หรือไม่จริง???


กำลังโหลดความคิดเห็น