xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตัวงานวิจัยเฝ้าระวังสื่อ รับมือความรุนแรงบนโลกไซเบอร์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดตัวงานวิจัยเฝ้าระวังสื่อ รับมือความรุนแรงในโลกไซเบอร์ ชี้ปัญหาสื่อไม่ปลอดภัยเปลี่ยนจากสื่อลามก-พนันออนไลน์ สู่ ไซเบอร์บูลลี่-เฮดสปีด-เฟคนิวส์

วันนี้(11 พ.ย.)ที่กระทรวงวัฒนธรรม ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมด้วย น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ประธานอนุกรรมการเฝ้าระวังสื่อฯ และ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ หัวหน้าโครงการวิจัยเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์เฝ้าระวังสื่อฯ ได้ร่วมกันแถลงผลการวิจัยพร้อมกับชี้แจงยุทธศาสตร์การทำงานที่สำคัญในการรับมือความรุนแรงในสื่อทั้งการใช้คำพูดสร้างความเกลียดชังต่อกัน ไปจนถึงการสร้างข่าวปลอม และการคุกคามกันในโลกไซเบอร์

ดร.ธนกร กล่าวว่าปัจจุบันปัญหาความรุนแรงมีมากขึ้นในโลกไซเบอร์ ทั้งการระรานและคุกคามกันหรือไซเบอร์บูลลี่ การโจมตีใช้คำพูดสร้างความเกลียดชังหรือประทุษวาจา ตลอดจนข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นในยามที่บ้านเมืองมีความขัดแย้ง กองทุนสื่อฯได้จับตาดูแนวโน้มนี้ร่วมกับนักวิชาการและมีความห่วงใยต่อสังคมในเรื่องนี้มาโดยตลอด การให้ทุนสนับสนุนที่ผ่านมาก็มีการให้ทุนสนับสนุนการริเริ่มนวัตกรรมสื่อเพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางลดปัญหาความรุนแรงในสื่อแบบนี้ลง

ทั้งนี้ โดยร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ3ปีเพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ผ่านการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว และแผนยุทธศาสตร์ของกองทุนเองมุ่งที่จะให้การสนับสนุนการรับมือความรุนแรงในสื่อไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนวัตกรรมสันติวิธี เพิ่มพื้นที่การพูดคุยข้ามความแตกต่าง ไม่เฉพาะเรื่องการเมืองแต่ทุกเรื่องที่มีหลายมุมมอง มุ่งสร้างวัฒนธรรมเอื้อเฟื้อ การคิดอย่างใคร่ครวญ และความเข้าใจกัน ที่อาจเริ่มจากประเด็นทั่วไปที่มีคนสนใจมาก เช่นเรื่องสุขภาพ อาหาร การเงิน สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ ซึ่งในระยะยาวก็อาจก้าวไปสู่การมีพื้นที่พูดคุยความคิดที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ได้ในประเด็นที่ซับซ้อนขึ้นอย่างการเมือง ศาสนา เป็นต้น

ด้าน น.ส.ลัดดา กล่าวว่า ปัญหาสื่อไม่ปลอดภัยเปลี่ยนไป จากแค่สื่อลามกและการพนันออนไลน์ที่ก็ยังเป็นปัญหา มาสู่ปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งไซเบอร์บูลลี่และ คำที่สร้างความเกลียดชัง ยังไม่รวมถึงเรื่องเฟคนิวส์ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน งานเฝ้าระวังจึงปรับตัวตามลักษณะปัญหา เน้นงานส่งเสริมการรู้เท่าทัน ควบคู่กับงานเฝ้าระวัง และการทำงานบูรณาการไปกับงานพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการยังมีแผนที่จะเสนอให้กองทุนมีศูนย์วิจัยสื่อติดตามสถานการณ์การรับสื่อของประชาชนเพื่อเป็นข้อมูลในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อกันในสื่อไซเบอร์ รวมถึงปัญหาการสร้างข่าวปลอมไปแก้ที่ปลายเหตุด้วยการลงโทษไม่ได้ แต่ต้องแก้ที่ต้นทางคือปัญญาความรู้เท่าทันของผู้รับสื่อ ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯได้เห็นชอบในเบื้องต้นแล้วต่อแผนการทำงานที่จะร่วมมือและสนับสนุนภาคี ซึ่งนอกจากภาคีหลักคือกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งมี ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมที่ทำงานควบคู่กันมาโดยตลอดแล้ว ยังมีภาคีอื่นๆ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศเช่น ยูเนสโก เพื่อร่วมกันผลักดันการรณรงค์และป้องกันแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

ขณะที่ ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจประชาชนในกลุ่มอายุและกลุ่มอาชีพต่างๆ รวมถึงกลุ่มเฉพาะได้แก่ผู้พิการและกลุ่มชาติพันธุ์พบว่า เกือบร้อยละ 80 มีการใช้สื่อโซเชียลอย่างเฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์สม่ำเสมอ ส่วนความกังวลเกี่ยวกับการใช้สื่อโซเชียลพบว่าอันดับหนึ่งร้อยละ 78 กังวลกับปัญหาข่าวปลอม รองลงมาร้อยละ 58 กังวลการระรานทางไซเบอร์ และร้อยละ 54 กังวลเรื่องการใช้ประทุษวาจาหรือคำพูดที่รุนแรงสร้างความเกลียดชังกันตามลำดับ

นอกจากนี้ จากการสำรวจของกรมสุขภาพจิตในปี 2562 พบว่าร้อยละ 35-40 ของเด็กมัธยมเคยระรานหรือถูกระรานทางไซเบอร์ ในส่วนของเรื่องข่าวปลอม ตัวเลขของประเทศต่างๆ คล้ายคลึงกันกล่าวคือร้อยละ 50-70 แล้ว แต่กลุ่มอายุได้รับข่าวปลอมสม่ำเสมอราวร้อยละ 30-40 เคยแชร์ข่าวปลอม และมีเพียงราวร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่เคยมีการตรวจสอบแหล่งข่าวจนรู้ว่าเป็นข่าวปลอม และในส่วนของประทุษวาจาหรือการใช้คำพูดรุนแรงต่อกันกำลังเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นการกระทำต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยทางศาสนา ตลอดจนกลุ่มการเมือง

ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า จากการประชุมระดมความคิดร่วมกับนักกฎหมายเห็นตรงกันว่าคำพูดที่รุนแรงสร้างความเกลียดชังอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะกรณีประทุษวาจาที่ยกระดับไปสู่การข่มขู่หรือยั่วยุให้มีการทำร้ายกันถือเป็นความผิดตามกฎหมาย


กำลังโหลดความคิดเห็น