xs
xsm
sm
md
lg

“ไพบูลย์” โหวตรับ รธน.วาระ 1 ให้ผ่านก่อนค่อยส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อเคลียร์ข้อกฎหมายในภายหลัง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วันนี้ (10 พ.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะสมาชิกรัฐสภา กล่าวถึงการที่มีตนและนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ร่วมกันเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อที่ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) โดยมีสมาชิกวุฒิสภา 48 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 25 คน เป็นผู้รับรองญัตตินั้น

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ด้วยเห็นว่าการที่รัฐสภาจะมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาญัตติที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่มีอำนาจวินิจฉัย จึงเห็นควรให้รัฐสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ควบคู่กับให้รัฐสภาดำเนินการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวต่อไปในวาระที่ 1 และวาระที่ 2 หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ก็ดำเนินการลงมติในวาระที่ 3 ต่อไป แต่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่มีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น ก็สามารถดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภาขึ้นมา เพื่อดำเนินการจัดทำญัตติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป

ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในวาระที่ 1 และวาระที่ 2 ดำเนินการได้โดยถูกต้อง จึงเสนอญัตตินี้เพื่อพิจารณาหลังจากที่ประชุมรัฐสภามีมติในวาระที่ 1 แล้ว จากนั้นจึงค่อยพิจารณาญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อที่ 31 เพื่อให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่ารัฐสภาจะมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) หลังรับหลักการวาระที่...แล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภา ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ จึงยื่นญัตติให้ประธานรัฐสภาพิจารณาบรรจุญัตตินี้เป็นญัตติด่วนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาต่อไป

เนื่องจากเห็นว่าญัตติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) ทั้ง 3 ฉบับ ได้มีหลักการและเหตุผล ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น โดยเนื้อหาสาระในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้มีหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมาตรา 256ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ เห็นว่าตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2563 ไม่ได้มีบทบัญญัติใดที่ให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งหากรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ต้องมีบทบัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ว่าให้กระทำได้ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 32 ที่บัญญัติว่า “ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ” และบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 46 “ในกรณีที่เห็นจำเป็นและสมควร คณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีมติร่วมกันให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ก็ได้โดยจัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบ”

จึงเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีบทบัญญัติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 ถึง มาตรา 39 ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้จัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้บัญญัติแยกเป็นอีกส่วนหนึ่งไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 ตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งย่อมหมายความว่า รัฐสภาจะนำบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไปดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น รัฐสภากระทำมิได้ นอกจากนั้น ยังมีรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับที่บัญญัติไว้ให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้แบบเดียวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เช่น รัฐธรรมนูญ ปี 2592, ปี 2549 เป็นต้น และเหตุที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เพราะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาชัดเจนว่าให้ใช้เป็นการชั่วคราว แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ไม่ใช่ฉบับชั่วคราวจึงไม่บัญญัติให้อำนาจรัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่ให้อำนาจรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตรา ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดที่ 15 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 และ 256 เท่านั้น

ซึ่งปรากฏตามความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ หน้าที่ 453 ได้บันทึกไว้ว่า “แม้จะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ในยามที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือความต้องการของประชาชนเปลี่ยนแปลง ก็อาจมีความจำเป็นต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมได้ ในรัฐธรรมนูญจึงต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้โดยเฉพาะ” ย่อมหมายความว่าเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ 15 บัญญัติให้อำนาจรัฐสภาเฉพาะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 และมาตรา ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 หมวด 8 การเสนอและการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ข้อที่ 114 วรรคสาม “การแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกมาตราใดของรัฐธรรมนูญให้ระบุมาตราที่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกไว้ในหลักการหรือจะระบุไว้ในเหตุผลด้วยก็ได้” ซึ่งญัตติทั้ง 3 ฉบับ ในส่วนที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ปรากฏการระบุมาตราที่ต้องการยกเลิก และไม่ได้บัญญัติไว้ให้ใช้ข้อความใดแทน จึงมิใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในอำนาจของรัฐสภตามหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราเท่านั้นและต้องระบุมาตราที่ต้องการยกเลิกและให้ใช้ข้อความใดแทน

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า แต่ก็มีความเห็นของสมาชิกรัฐสภาหลายคนเห็นว่ารัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ดังเช่นเกิดขึ้นในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2539 ซึ่งเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 แต่เมื่อการวินิจฉัยว่ารัฐสภามีอำนาจหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่จะมีอำนาจวินิจฉัย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับอย่างไรก็ต้องไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทางใดทางหนึ่ง การที่รัฐสภาส่งไปวินิจฉัยหลังจากรับหลักการในวาระที่ 1 และตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาวาระที่ 2 แล้ว ก็จะเป็นการทำความชัดเจนในข้อกฎหมายโดยไม่มีผลทำให้กระบวนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดหยุดลง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภามีอำนาจทำได้ ก็จะเป็นผลดีต่อการดำเนินการต่อไปจนประกาศใช้รัฐธรรมนูญไม่มีเหตุที่จะสะดุดหยุดลง ส่วนหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาสภาไม่มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ สมาชิกรัฐสภาก็จะได้เร่งรัดจัดตั้งคณะกรรมาธิการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภาขึ้น เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จลุล่วงได้ตามเจตนารมณ์ของทุกฝ่าย


กำลังโหลดความคิดเห็น