“ปวิน” หน่าย “ปู-ทักษิณ” ยินดี “ไบเดน” จวกแรง พวกเลียเจ้า “อานนท์” มาแปลก เห็นด้วย “ในหลวง ร.๑๐” ประนีประนอมปฏิรูปสถาบัน “คำนูณ” ชำแหละ “ร่างไอลอว์” เสนอนิรโทษคดี “ทุจริต” ลึกถึงคนอยากกลับบ้านแบบเท่ๆ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และผู้ลี้ภัยในญี่ปุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า
“เหนื่อยหน่ายใจกับคนพวกนี้ พอไบเดนชนะ เรียงหน้ากันมาแสดงความยินดี ทั้งอีปุ๋ย ทั้งอีปู ทั้งทักษิณ พูดเสมือนว่า ไบเดนมาเป็นประธานาธิบดี มันคือแสงสว่างแห่งประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่คนพวกนี้ ในทุกโอกาส โหนเจ้า อวยเจ้า เลียเจ้า เจ้าที่กดขี่ข่มเหงคนไทยเสมอ เจ้าที่ลิดรอนสิทธิคนไทย ดังนั้น ดิชั้นไม่ให้ราคาคนเหล่านี้
...อ้อ ติ่งคนเหล่านี้ไม่ต้องโกรธดิชั้น ที่ดิชั้นพูดทั้งหมด มันมีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน ไม่ต้องอ้างว่า อวยเพราะต้องการอยู่รอด นักศึกษาทุกวันนี้ยอมเผชิญหน้ากับกษัตริย์ ทั้งๆ ที่เค้าอยู่เมืองไทย กระบวนการประชาธิปไตยไม่ไปไหน เพราะมีติ่งคอยให้ท้ายคนเหล่านี้ ลองเอาสิ่งที่ดิชั้นพูดไปคิดว่าจริงไหม ถ้ายังไม่เชื่อ ก็อันเฟรนด์ดิชั้นหรือบล็อกดิชั้นไปค่ะ กูไม่แคร์”
ทั้งนี้ เนื่องมาจาก วันนี้ นายทักษิณ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความแสดงความยินดี กับ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากพรรคเดโมแครต หลังชนะการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา
โดย “ทักษิณ” ระบุว่า เรียน ท่านโจเซฟ ไบเดน
พวกเราขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อชัยชนะของท่าน และรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส ในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์นี้
พวกเราในประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทั้งหุ้นส่วนและพันธมิตรที่สำคัญของเรา พวกเราก็เหมือนประชาชนชาวเอเชียอื่นๆ ทั้งหลาย ที่มุ่งหวังด้วยความหวังอันสำคัญที่จะได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลของท่านในการก้าวข้ามอุปสรรคที่พวกเราประสบอยู่ในปัจจุบัน พวกเรามั่นใจว่า ภายใต้การเป็นผู้นำของท่าน พวกเราจะสามารถนำภูมิภาคทั้งสองไปสู่ความสัมพันธ์ที่มีพลังและเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้นต่อไป
ด้วยความปรารถนาดีและขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการดำเนินการของท่านในอนาคต”
ขณะที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็โพสต์ข้อความแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน ระบุว่า
เรียน ท่านโจเซฟ ไบเดน
ข้าพเจ้าในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าขอส่งสาส์นนี้เพื่อแสดงความยินดีจากใจจริงถึงท่านประธานาธิบดี ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
ในห้วงเวลาของความยากลำบากขณะนี้ พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านจะร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ภูมิภาคของเราทั้งสองก้าวข้ามความท้าทายทั้งหลายที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นสูงสุดตามศักยภาพที่มีอยู่
ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการดำเนินการต่อไปในอนาคต”
ขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบคณะราษฎร 63 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“ทหารเขาก็เดาว่าม็อบจะยืมมือทหารฉีกรัฐธรรมนูญ เขาจึงไม่รัฐประหาร เพราะถ้าทำนี่ฉิบหายกันหมดทุกองคาพยพ
ที่สำคัญ เขารู้ว่ามีคนเตรียมรัฐธรรมนูญอีกฉบับไว้ประกาศทันทีที่รัฐประหารแล้ว
ทางออกของสังคม จึงเป็นการประนีประนอมอย่างที่ในหลวงบอกนั่นแหละ เพียงแต่จะอย่างไร เมื่อไรเท่านั้น
ผมยังเห็นความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะไม่ให้เกิดความสูญเสียอยู่ ขอให้ทั้งสองฝ่ายหนักแน่นจุดนี้
แล้วหาทางออกไปด้วยกัน”
ด้าน เฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn ของ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 7 (ร่าง iLaw)
ประเด็นที่น่าสนใจของโพสต์ดังกล่าว มีนัยสำคัญเบื้องลึก อย่างน้อย เกี่ยวข้องกับสองส่วนที่ถูกจับตามองมาตลอด
ส่วนแรก นายทักษิณ เคยออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่า เขาถูกเลือกเป็น “นายกฯคนกลาง” และ “นายกฯสมานฉันท์” รัฐบาลแห่งชาติ หลังเกิดปรากฏการณ์ “กราบ” ของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์
แต่ก็ยอมรับว่า พร้อมกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยผ่านการเลือกตั้งของประชาชน สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ เขาเคยบอกว่า จะกลับประเทศไทยแบบเท่ๆ...
ส่วนที่สอง หลายคนตั้งข้อสงสัย และให้ความสนใจว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และแกนนำคณะก้าวหน้าบางคน ที่มีบทบาทสูงในการสนับสนุนม็อบ “3 นิ้ว” อยู่ในเวลานี้ แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน จะสามารถกลับมามีบทบาททางการเมืองในรัฐสภาได้หรือไม่ ด้วยเงื่อนไขอะไร เพราะหลังจาก “ยุบพรรคอนาคตใหม่” พวกเขาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถึง 10 ปี
เหล่านี้ ถือว่า ส.ว.คำนูณ วิเคราะห์เอาไว้อย่างชัดเจน เริ่มจากสาระสำคัญในข้อ 10 ที่สรุปออกมา
ระบุว่า “ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ไม่ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 โดยเสนอนวัตกรรมการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่อย่างน่าสนใจ คือ สมัครเป็นบุคคลก็ได้ สมัครเป็นทีมก็ได้ โดยให้มีการแถลงนโยบาย กำหนดให้ใช้รูปแบบรวมเขต-เขตใหญ่ คือ ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง และกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัคร ส.ส.ร.ไว้อย่างเปิดกว้างมาก แม้แต่พระภิกษุสามเณรนักพรตนักบวช คนวิกลจริต หรือผู้ติดยาเสพติด ก็ไม่อยู่ในข่ายต้องห้าม ไม่ต้องพูดถึงผู้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง-ไม่ห้ามอยู่แล้ว
ข้อนี้ เป็นไปได้สูงที่อาจได้ ส.ส.ร. ที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ถ้าต้องการที่จะเข้าไปมีสิทธิมีเสียงในการร่างรัฐธรรมนูญหมวด 1 และ 2 (หมวดพระมหากษัตริย์)
ต่อมา เป็นการตั้งข้อสังเกต จาก 10 ข้อ ที่สำคัญระบุว่า
“...ผมจะตั้งข้อสังเกตให้เห็นว่า หลักการในบางประเด็นเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยจะขอกล่าวถึงเฉพาะประเด็นที่ 6-7
ประการที่หนึ่ง - นิรโทษคดีทุจริต?
หลักการประเด็นที่ 6-7 จะมีผลต่อกระบวนการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคดีทุจริตประพฤติมิชอบอื่นๆ แน่นอน เพราะการไปกำหนดให้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่เป็นฐานกำหนดความผิดโดยตรงมีอันสิ้นผลไป หรือพูดง่ายๆ ว่ายกเลิกนั้น จะมีผลเสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทุจริตในทางปฏิบัติ ตามหลักกฎหมายอาญาที่ว่า กฎหมายมีผลย้อนหลังได้ หากเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด ตามที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับวางบรรทัดฐานไว้
ผู้ใดต้องโทษจำคุกตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตอยู่ ก็จะยื่นคำร้องให้ศาลออกหมายปล่อยตัว
ผู้ใดอยู่ระหว่างการต่อสู้คดี ก็จะใช้เป็นข้อต่อสู้เพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่หนีคดีอยู่ ก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักในการหาทางกลับบ้านได้เท่ๆ เช่นกัน
ผลข้างเคียงที่เป็นเสมือนการนิรโทษคดีทุจริตต่อบุคคลที่ได้รับผลดีนี้จะคงอยู่ตลอดไป ต่อให้ในอนาคตมีการตรา พ.ร.ป.กำหนดฐานความผิดเดิมขึ้นมาใหม่ ก็จะไปเข้าหลักกฎหมายอาญาทั่วไปอีกด้านหนึ่ง ที่ว่ากฎหมายที่ออกมาใหม่ หากเป็นโทษกับบุคคลไม่สามารถใช้บังคับย้อนหลังได้...
แน่นอน, การชุมนุมใหญ่ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่เข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ภายใต้กลุ่ม “ราษฎร 63” น่าวิเคราะห์ว่า มีทั้งคนที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองโดยตรงอยู่เบื้องหลัง และคนที่มีผลประโยชน์ทางอ้อมแอบลุ้นให้ม็อบเป็นฝ่ายชนะ
เพราะชัยชนะของม็อบ ถ้าถึงขั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรืออย่างน้อยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจบางอย่าง ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจตามไปด้วย รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะ “สวิง” มาอีกด้านหนึ่ง จนนำมาสู่การนิรโทษกรรมทางการเมืองอย่างขนานใหญ่ก็เป็นได้
ขณะนี้ มีแนวร่วมจำนวนมากที่กำลังรออานิสงส์ โดยเพราะกลุ่มลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้น รวมทั้งมวลชนที่แค้นฝังหุ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะ คสช.
ส่วนถ้าแพ้ ก็ถือว่า เป็นกรรมของ “แกนนำ” ที่จะต้องเดินสายขึ้นศาล จนแทบไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง และอนาคตที่ต้องยอมรับชะตากรรมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น สิ่งเหล่านี้มีการย้ำเตือนจากผู้มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำม็อบมาตลอดอยู่แล้ว
เหนืออื่นใด การต่อสู้ที่ไม่มีความปรานีปราศรัย ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร เอาแต่ผลประโยชน์ฝ่ายตนเป็นที่ตั้ง มันช่างน่ากลัว และอำมหิตเสียจริง ขนาดคนที่เคยรัก เคยศรัทธา วันใดที่เปลี่ยนข้างทางการเมือง วันนั้น ก็ไม่ต่างจากตัวน่ารังเกียจไปโดยปริยาย เป็นอุทาหรณ์ที่น่าจดจำใส่ใจเอาไว้เหมือนกัน เรื่องนี้ดูโพสต์ที่ “ปวิน” ทำกับ “ทักษิณ” เอาเองก็แล้วกัน