xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องยาก! “จอม” จี้จริงใจ “ปฏิรูป” ล้มล้างหรือเสริมสร้าง “สามสี” เสนอทฤษฎี “ฮาร์วาร์ด” “3 นิ้ว” เมินสมานฉันท์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จากเฟซบุ๊ก เดอะเมตตาดี
ทำท่าว่าจะ “แท้ง” แล้ว “คกก.สมานฉันท์” “จอม” จี้สถาบันพระปกเกล้าจริงใจ เอาให้ชัด “ปฏิรูปสถาบัน” ล้มล้าง หรือสร้างเสริมพระเกียรติ “สามสี” เสนอคนเจรจาต้องมีศีล ทฤษฎีจาก “ฮาร์วาร์ด” “3 นิ้ว” เมินร่วมด้วย อ้างซื้อเวลา

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab ของ นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ คณะกรรมการสมานฉันท์ ที่รัฐสภา กำลังออกแบบอยู่ในเวลานี้ว่า
“สถาบันพระปกเกล้า ควรพิสูจน์ความจริงใจ ก่อนที่จะเร่ิ่มต้นสร้างความสมานฉันท์ ด้วยการจัดเวทีอภิปรายเรื่อง “ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เป็นการล้มล้างหรือเสริมสร้างพระเกียรติ” หากไม่ทำ เท่ากับไม่จริงใจกับประชาชน หรือองค์กร สมาคม สถาบันการศึกษา ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการเสริมสร้างประชาธิปไตย การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ควรทำหน้าที่นี้ ไม่ใช่อยู่กับความกลัว จนเสื่อม”

ภาพ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี หรือ “สามสี” ที่เรียกกัน อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

“วิธีให้เกิดความสมานฉันท์โดยการเจรจา (ทั้งในเชิงทฤษฎีและภาคปฏิบัติ)

(1) ผู้เข้าร่วมในขบวนการเจรจาทุกคนต้องเป็นคนที่มี “ศีล” อย่างน้อย 3 ประการ ดังต่อไปนี้

1.1) ต้องเป็นผู้ที่ #ไม่คิดจะเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นที่เห็นต่าง ทั้งในเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงและร่างกาย คือจะไม่คิดทำร้ายผู้อื่นทั้งทางกายทุจริต มโนทุจริต และวจีทุจริต

1.2) #ต้องเป็นคนไม่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากได้ตำแหน่งทางการเมืองก็เพื่อจะไปกอบโกยโกงกินโดยหน้าด้านอ้างประชาชนและประชาธิปไตยบังหน้า คนเช่นนี้จะมีแต่การดันทุรังต่อรองเพื่อจะเอาชนะ ถือหลักว่า ถ้ากูไม่ชนะพวกมึงก็อย่าหวังจะได้รับความสะดวกในกิจการต่างๆ ชาติฉิบหายช่างหัวมัน

1.3) #ต้องไม่เป็นคนปากอย่างใจอย่าง เป็นพวกที่เห็นการพูดเท็จและบิดเบือนข้อมูลให้คนอื่นหลงผิดเป็นเรื่องธรรมดาเป็นกลยุทธ์ที่เขาใช้โดยไม่มีความรู้สึกอับอายหรือเป็นพวกขาด หิริ โอตตัปปะ อย่างแรง

(2) ผู้เข้าร่วมในขบวนการเจรจาทุกคนต้องเป็นคนที่มี “ธรรม” อย่างน้อยที่สุดต้องมี "พรหมวิหาร 4" คือ

2.1) มี #เมตตา คือ เป็นคนที่อยากให้ประชาชนมีความสุข มีความสงบ ไม่ต้องอยู่ด้วยความกลุ้มใจหวาดผวา ต้องไม่ใช่คนประเภทที่ถือหลักว่า “ถ้าไม่ได้ตามใจกู กูจะไม่ยอมให้ใครมีความสุข”

2.2) มี #กรุณา คือ เป็นคนที่เมื่อเห็นคนไทยและประเทศไทยมีความทุกข์อยู่แล้ว ไม่ว่าเพราะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลก และจากการต้องป้องกันตนมิให้ติดโรคโควิด-19 ก็ไม่คิดจะซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ ผู้เข้าร่วมเจรจาจะต้องไม่ใช่มนุษย์ประเภทถ้าไม่เห็นด้วยกับพวกกู กูอยากจะเพิ่มทุกข์ให้แก่พวกมัน แม้พวกกูจะมีปริมาณน้อยกว่าอย่างมากมายก็ตาม

2.3) มี #มุทิตาจิต คือ ต้องเป็นคนที่ไม่มีความอิจฉาริษยา แบบว่าไม่อยากเห็นใครได้ดีกว่าตนเอง ต้องพยายามแกล้งมัน ขัดแข้งขัดขามัน เพราะมันไม่ใช่พวกกู แม้มันจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลยก็ต้องหาเรื่องใส่ร้ายมันอย่างน้อยก็ต้องตั้งข้อหาว่ามันอยู่เบื้องหลังการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (เพราะเท่าที่ผมทราบคณะกรรมการยกร่างพิจารณากันอย่างอิสระ เสรี โดยเขียนขึ้นให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยไม่คิดจะคัดลอกประเทศใดๆ มาแบบ 100% แต่ก็ไม่ใช่จะแก้ไขไม่ได้)

2.4) มี #อุเบกขา หมายถึงบุคคลที่ไม่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ ไม่คิดที่จะอุ้มเมื่อประเทศซวนเซเหมือนพ่อแม่ที่คอยประคองลูกตอนหัดเดิน คนประเภทนี้จะชอบนั่งดูเฉยๆ หรือไม่ก็ซ้ำเติมเพราะเกลียดคนส่วนใหญ่ที่เสือกไม่เข้าข้างกู (หนังสือที่ควรอ่านประกอบคือพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพของโลก เขียนโดยสมเด็จพระพุุทธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยุตฺโต)

(3) ตามทฤษฎีที่เขาใช้ปฏิบัติ ในการสร้างความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้โดยการเจรจาระหว่างกลุ่มชนที่ขัดแย้งกันนั้น เขาจะไม่เรียกคู่ขัดแย้งมาเจรจากันต่อหน้า (ยิ่งถ้าเจรจาสดผ่านทีวีถือว่าบ้าหนัก) เพราะโดยพื้นฐานที่ทุกคนจะมีความไม่มีศีลและความไม่มีธรรมในข้อ (1) และ (2) อยู่ในสันดานมากน้อยแล้วแต่การศึกษาและการอบรม จึงทำให้ไม่มีใครยอมใครกัน โดยเฉพาะต้องให้การเจรจาถูกใจกองเชียร์ที่อยู่ข้างหลังด้วย

ตามทฤษฎีที่หลายแห่งในโลกทำสำเร็จเขาจะ #ใช้บุคคลที่ 3 ที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับปัญหาความขัดแย้งเป็นคนเจรจา สมมติว่า คู่ขัดแย้ง คือ กลุ่ม A กับกลุ่ม B คนเจรจา คือ นาย C (บุคคลหรือคณะบุคคลก็ได้) จะไปเจรจากับกลุ่ม A ได้ความอย่างไรก็มาเจรจากับกลุ่ม B แล้วนำข้อเสนอของกลุ่ม B ไปเจรจากับกลุ่ม A อีก ทำสลับกันไปมาอย่างนี้จนเมื่อได้ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายพอจะยอมรับกันได้แล้ว จึงจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันรอบๆ โต๊ะเจรจาเพื่อยืนยันข้อตกลง

สงครามระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับกบฏแยกดินแดนรัฐอาเจะห์ยุติได้ก็โดยวิธีนี้ คนที่อยากให้เกิดความสมานฉันท์กรุณาไปศึกษาเอาเองครับ ถ้าไม่เชื่อผม #ความสมานฉันท์ที่ฝันกันนั้นคงเกิดได้ยาก

คราวที่แล้วก็เจ๊งมาแล้ว #จะให้เจ๊งซ้ำอีกสักกี่หนไม่ทราบครับ

ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สอนทฤษฎีนี้ให้กับผม”

ขอบคุณภาพ แกนนำกลุ่มราษฎร รุ่นสอง แถลงไม่ร่วมคณะกรรมการปรองดอง-สมานฉันท์ จากไทยโพสต์
อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่สนามหลวง กลุ่มราษฎรได้จัดแถลงข่าว โดยมี นายจตุภัทร์ บุญภัทร์รักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน”, นายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย YPD, นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบร์ท กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี, นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ขอนแก่นพอกันที เข้าร่วม

นายจตุภัทร์ กล่าวว่า ปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 60 เกิดจากที่มาของการทำรัฐประหาร และอำนาจของ คสช. อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมา หากนายกฯ ยังอยู่รวมถึงอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 ตำแหน่ง เพราะที่ผ่านมาประชาชนไม่ได้รับการปกป้อง ถ้าหากนายกรัฐมนตรีลาออก จะเกิดการเจรจาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาต่างๆ จะต้องเข้าไปสู่การแก้ไขในรัฐสภา ซึ่งตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คืออุปสรรคในการแก้ไขปัญหา

และในตอนนี้เราได้รวบรวมเครือข่ายต่างๆ ที่กระจายทุกภูมิภาค เพื่อที่จะทำการวางแผนและวางยุทธศาสตร์ในการชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไป ยิ่งรัฐบาลอยู่นาน พวกเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น หลังจากนี้ เราจะมีกิจกรรมเพิ่มขึ้นซึ่งทุกคนจะต้องคอยติดตามจากเพจ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เท่านั้น เนื่องจากมีหลายเพจ หลายกลุ่ม อาจทำให้มวลชนสับสน อีกทั้งเราจะต้องเปิดเพจขึ้นมาใหม่เพื่อป้องกันไอโอจากฝั่งรัฐบาลที่จะเข้ามาโจมตี

นายจตุภัทร์ กล่าวอีกว่า ตนในฐานะหนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร ขอยืนยันว่า การเคลื่อนไหวของพวกเรามีพลังถึงแม้รัฐบาลจะไม่ฟังเรา แต่วันนี้พวกเรามีมวลชนมากขึ้น การชุมนุมแต่ละครั้งเราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเราได้ยึดหลักสันติวิธี แล้วเราไม่รู้ว่าการชุมนุมของเราในแต่ละครั้งจะเป็นการกดดันให้นายกฯ ลาออกเมื่อไหร่ แต่เราจะพยายามไปเรื่อยๆ และพยายามรับฟังจากเสียงคนรอบข้าง

พร้อมทั้งได้ฝากไปยังมวลชนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ให้หาระมัดระวังเรื่องการใช้ความรุนแรง อาวุธ เนื่องจากสิ่งนี้อาจทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารได้

นายอรรถพล กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่หยุดที่จะดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมทางการเมือง อีกทั้งในปัจจุบัน นักเคลื่อนไหวหลายคน ยังมีคดีค้างคาอยู่หลาย สน. นี่คือ สิ่งที่แสดงออกว่ารัฐบาลไม่อยากเจรจากับพวกเรา และพวกเราก็จะไม่ขอเจรจาด้วย ประชาชนเป็นฝ่ายที่ถูกรัฐบาลคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว เราสู้จนหลังชนฝา ข้อเรียกร้องของพวกเรา คือ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. ทั้งหมดลาออกจากตำแหน่ง และต้องรีบร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้ไวที่สุด

จากนั้น แกนนำได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์สรุปว่า “ดังที่ฝ่ายรัฐบาลได้เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการปรองดอง-สมานฉันท์ขึ้น โดยให้เหตุผลว่า เป็นไปเพื่อลดความตึงเครียดทางการเมืองในสังคม และหาทางแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาตินั้น

พวกเราเห็นว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าว มิอาจนำมาซึ่งหนทางแก้ปัญหาใดๆ ดังที่กล่าวอ้างได้ เพราะแท้จริงแล้ว การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอุปสรรคประการใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการแก้ไขปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมทั้งปวงของประเทศชาติ

นอกจากนี้ ยังปราศจากความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าสู่อำนาจโดยมิชอบตั้งแต่แรก จึงนับได้ว่า คณะกรรมการดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงละครทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล เพื่อซื้อเวลาให้ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงเท่านั้น

พวกเราขอประกาศจุดยืนว่า จะไม่ยอมรับ และจะไม่สังฆกรรมกับคณะกรรมการที่ฝ่ายรัฐบาลจะจัดตั้งขึ้น และขอยืนยันว่า ปัญหาทั้งปวงของประเทศชาติจะเริ่มต้นมิได้เลย หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ลาออก ทั้งนี้ พวกเราขอยืนยันในข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อดังต่อไปนี้

1. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 3. ต้องมีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

“ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

แน่นอน, เป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัยมาตั้งแต่ต้นแล้ว จากข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” โดยเฉพาะข้อ 3. ต้องมีการปฏิรูปสถาบันฯ เพราะเป็นข้อเสนอที่หักหาญเอากับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่มีความรักและเทิดทูนสถาบันอย่างสูงยิ่ง ความจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว รวมทั้งไม่เคยมีม็อบไหนกล้าแตะด้วยซ้ำ เพียงแต่ครั้งนี้มีพระเมตตาอย่างสูง ที่ไม่ให้ใช้กฎหมายอาญา ม.112 อย่างเต็มที่เท่านั้นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ ดร.ไตรงรงค์ โพสต์ให้ความเห็น จึงสำคัญ และจบในตัวอยู่แล้ว ว่า เหตุใดการเจรจาระหว่าง “ม็อบ 3 นิ้ว” กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เพียงเรียกร้องต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. หากแต่เป็นการเรียกร้อง และกดดันเอากับคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย

เหนืออื่นใด หากม็อบ 3 นิ้ว ยังคงยืนยันที่จะไม่รับฟัง หรือไม่ยอมถอยทั้งสิ้น หากไม่ได้ตามข้อเรียกร้อง รวมทั้งแกนนำบางคนยังขู่ด้วยว่า ถ้าไม่ยอม ข้อเรียกร้องอาจเหลือข้อ 3 ข้อเดียว นั่นคือ ปฏิรูปสถาบันฯ ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ อย่างนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเท่านั้นเอง ใครก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น