xs
xsm
sm
md
lg

“ไพบูลย์” แนะทางออกประชามติถามห้ามชุมนุม 2 ปี เพื่อแก้ ศก. พ่วงเลือกตั้งนายก อบจ.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ไพบูลย์ นิติตะวัน (แฟ้มภาพ)
รอง หน.พปชร ย้ำทางออกประเทศ ชงคำถามประชาชน 52 ล้านคน ห้ามชุมนุมการเมือง 2 ปี เอื้อแก้ไขปัญหา ศก. เสนอนายกฯ ออก พ.ร.ก.ประชามติ ออกเสียงวันที่ 20 ธ.ค.นี้ พร้อมเลือกนายก อบจ.76 จังหวัด

วันนี้ (2 พ.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา กล่าวว่า ตนได้อภิปรายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 โดยเสนอทางออกของประเทศในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขั้นรุนแรงของไทย เสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติถามประชาชนทั้งประเทศแทนการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ เพราะเห็นว่าการยุบสภาจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้มีปัญหามากขึ้น และการยุบสภาไม่สามารถยุติความขัดแย้งจากการชุมนุมทางการเมืองได้ จึงขอเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หากจะหาทางออกของประเทศให้ได้ผล ต้องให้ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วมใช้อำนาจอธิปไตยตัดสินปัญหาสำคัญนี้ โดยหากเป็นไปได้ขอเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีมีมติจัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยประชาชนทุกคนทั้งประเทศซึ่งมีสิทธิออกเสียงประชามติ 52 ล้านคนให้มีส่วนร่วมโดยตรงตัดสินปัญหาสำคัญของชาติในครั้งนี้ เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยทางตรงให้ได้ข้อยุติว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อการจัดชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของสังคมไทย

แต่ยังมีปัญหาข้อกฎหมายว่าจะตั้งคำถามอย่างไรจึงจะไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ดังนั้น ตนขอเสนอให้ตั้งคำถามประชามติที่เป็นไปรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ดังนี้

“ท่านเห็นอย่างไร หากรัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามไม่ให้มีการจัดชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายชุมนุมสาธารณะ มีการกระทำก้าวล่วงรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 อันเป็นเหตุให้กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่มีผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะจากความขัดแย้งของคนในชาติ และให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนสามารถดำเนินการได้ลุล่วง รัฐบาลจึงจะใช้มาตรการทางกฏหมายขั้นเด็ดขาดห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ”

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ทางออกของประเทศโดยการให้ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงทั้งประเทศ 52 ล้านคน ออกเสียงประชามติ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำถามประชามตินั้นให้มีผลเป็นข้อยุติ หากผลการออกเสียงประชามติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับรัฐบาล เมื่อเป็นมติของประชาชนเสียงข้างมากทั้งประเทศ ให้รัฐบาลสามารถใช้มาตราการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ จะทำให้ยุติปัญหาที่เกิดจากการชุมนุมการเมืองไประยะเวลาหนึ่ง เพียงพอที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจช่วยเหลือเยียวยาประชาชนพ้นวิกฤตผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่หากประชาชนเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐบาลตามคำถามประชามติ รัฐบาลก็ไม่ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายใดๆ ขัดแย้งกับมติเสียงข้างมากของประชาชน

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า เพื่อให้การออกเสียงประชามติซึ่งเป็นทางออกของประเทศทำได้รวดเร็วและประหยัดงบประมาณแผ่นดิน จึงเสนอให้การออกเสียงประชามติทำพ่วงไปพร้อมกับการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และนายก อบจ.ทั้ง 76 จังหวัดในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ กำหนดเพิ่มเขตกรุงเทพมหานครให้ กกต.จัดออกเสียงประชามติเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้ใช้งบประมาณทำประชามติจำนวนไม่มาก

และการหาทางออกของประเทศด้วยการจัดให้ออกเสียงประชามติ เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนจึงเสนอให้ คณะรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 ตราเป็นพระราชกำหนดว่าด้วยการออกเสียงประชามติขึ้นใช้เฉพาะครั้งนี้ เนื่องจากเป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

นายไพบูลย์เชื่อว่า หลังจากมีออกเสียงประชามติแล้ว จะทำให้ประชาชนทุกคนทั้งประเทศมีส่วนร่วมใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง แก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎร 63 มีปัญหากับกลุ่มประชาชนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคณะราษฎร 63 กำลังทวีความขัดแย้งขยายวงกว้างขึ้น อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นมาในอีกไม่นานซึ่งไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้น จึงควรหาทางออกของประเทศโดยสันติวิธี ด้วยการขออำนาจอธิปไตยของประชาชนทุกคนทั้งประเทศผ่านการออกเสียงประชามติตัดสินปัญหาสำคัญให้ได้ข้อยุติ จึงจะสามารถหยุดยั้งปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ของไทยได้


กำลังโหลดความคิดเห็น