ตรงไป..ตรงมา “ต่อตระกูล” ฟันธง “หัวจดหมายม็อบ” ไม่ไล่แค่รัฐบาล “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เชื่อ “เยอรมัน” ไม่บ้าจี้ “หมอวรงค์” จวกนักการเมืองชั่ว สมคบจักรวรรดินิยมต่างชาติ “บิณฑ์” เอาจริง ปลุกคนไทย ใส่เสื้อเหลือง-ชมพู ปกป้องสถาบัน 1 พ.ย.
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก ต่อตระกูล ยมนาค ของ รศ.ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์หัวข้อ “คณะราษฎร 2563 Go Inter !”
โดยระบุว่า “ใช้ชื่อ “คณะราษฎร อินเตอร์เนชันแนล” มีโลโก้ ที่แสดงความสืบต่อมาจากเครื่องหมายบนหมุดทองเหลืองของคณะราษฎร 2475 ที่เคยปักอยู่บนลานถนนข้างพระบรมรูปทรงม้า
ใช้เป็นครั้งแรกเป็นหัวจดหมาย มอบต่อทูตเยอรมันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563
ในจดหมายมีข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
แกนนำผู้ชุมนุมประกาศว่า จะยกระดับการชุมนุมให้มากขึ้น และจะไม่ไล่แค่รัฐบาลแล้ว !”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “มันมากเกินไป”
เนื้อหาระบุว่า “เมื่อวานนี้ ม็อบร้อยชื่อชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมัน ที่ถนนสาทร พร้อมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย เนื้อหาในจดหมายเป็นการใส่ร้าย กล่าวหาพระเจ้าแผ่นดิน อย่างมีอคติชัดเจน เข้าข่ายผิดกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 6 บัญญัติชัดเจนว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้ หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2475 ฉบับที่คณะราษฎรจัดทำขึ้น มาตรา 3 ก็บัญญัติไว้ในทำนองเดียวกัน ไม่ผิดเพี้ยน
กลุ่มม็อบกล่าวหา จาบจ้วงอย่างรุนแรง ไร้หลักฐาน ไม่มีมูลความจริงว่า องค์พระประมุขบังคับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้สูญหาย กล่าวหาว่า องค์พระประมุขสั่งราชการจากแผ่นดินเยอรมัน และเรียกร้องให้ทางการเยอรมัน PNG. ในหลวง
คนเยอรมันและรัฐบาลเยอรมันมีความสัมพันธ์และมีความเข้าอกเข้าใจคนไทยเป็นอย่างดี คนเยอรมันมีความรู้สึกที่ดีๆ กับคนไทยและราชวงศ์ นับตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเสด็จประทับเยอรมันสองครั้ง ตลอดจนการเสด็จเยือนเยอรมันของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ ตลอดจนการเสด็จประทับเยอรมันของในหลวงองค์ปัจจุบัน ก็ไม่ได้เป็นความลับ และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรัฐบาลและคนเยอรมัน ตลอดจนรัฐบาลรัฐบาวาเลีย
การ PNG. จะกระทำต่อนักการทูตและบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐเจ้าของดินแดน และทางการเยอรมันคงไม่บ้าจี้
ข้อกล่าวหาว่า องค์พระประมุขทรงสั่งราชการจากแผ่นดินเยอรมัน ต้องเข้าใจให้ตรงกันนะ องค์พระประมุขทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่ได้ทรงบริหารราชการแผ่นดินใดๆ เลย การลงพระปรมาภิไธยต่อกฎหมายใดๆ เป็นราชภารกิจในแบบพิธีเท่านั้น ไม่ใช่ในเนื้อหาของการบริหารราชการ ทรงทำในฐานะประมุขมิใช่ผู้บริหารรัฐบาลแบบประธานาธิบดี
ส่วนข้อกล่าวหาในเรื่องมาตรา 112 ลุงตู่ก็ชี้แจงผ่านสื่อและรับรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่า ในหลวงไม่มีพระประสงค์ให้ดำเนินคดีกล่าวโทษผู้ใดในความผิดตามมาตรา 112 และตั้งแต่มีการม็อบมาจนถึงปัจจุบัน มีหลายเหตุการณ์ที่หมิ่นเหม่ว่าจะผิดตามมาตรา 112 แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยกล่าวโทษใครในความผิดมาตราดังกล่าวเลย
คนทั่วประเทศ กลุ่มพลังเงียบได้เคลื่อนไหวแสดงตัว ประกาศความจงรักภักดีให้เห็นแล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ ใครจะคิดล้มล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้.”
ส่วน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ได้ติดตามข้อเรียกร้องของม็อบปลดแอก ที่ยื่นสถานทูตเยอรมัน อ่านแล้วรู้สึกหดหู่ ต่อเหตุและผลของการเรียกร้อง เพราะช่างไม่ต่างจากการกล่าวหา พลเอก ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) เป็นเผด็จการ ทั้งๆ ที่มาจากการเลือกตั้ง
การกล่าวหาองค์พระมหากษัตริย์ในข้อต่างๆ จึงไม่มีเหตุผล ที่บ่งบอกถึงปัญหาที่กระทบต่อรัฐบาล และประชาชน แต่กลายเป็นอคติคิดล้มล้าง ด้วยการดึงต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ข้อที่กล่าวมา ไม่มีมูลใด
ดังเช่น การอ้างเรื่องการใช้อำนาจอธิปไตยในดินแดนเยอรมัน เพราะอำนาจอธิปไตย เป็นเรื่องของการใช้อำนาจของรัฐบาล นิติบัญญัติ และตุลาการ แค่นี้ก็เป็นการใส่ร้ายแบบผิดๆ แต่ความจริงพวกที่ลี้ภัยต่างประทศ ที่จ้องล้มล้างการปกครองนี่ต่างหาก คือ พวกใช้แผ่นดินต่างชาติแทรกแซงอธิปไตยของไทยกลับไม่สนใจ
ไม่ต้องเอ่ยถึงข้อกล่าวหา ที่ไปทรมาน อุ้มหายที่กล่าวหาใส่ร้ายลอยๆ แค่คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร เอกยุทธ์ อัญชัญบุตร ชิปปิ้งหมู ฆ่าตัดตอน 2,000 ศพ คดีฆ่าที่ตากใบ กรือเซะ นี่คือเหตุการณ์จริงๆ กลับไม่พูดถึง หรือแม้แต่เรียกร้องรัฐบาลเยอรมัน ให้ดำเนินการเรื่องภาษี ก็กลายเป็นสิ่งที่อ้างลอยๆ เพื่อไปปั่นขยายผลบิดเบือน
จะเห็นได้ว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการปั่น สร้างกระแส ชักศึกเข้าบ้าน เพื่อให้ร้ายสถาบันฯ โดยไม่มีเหตุผล แต่เพื่อสนองนักการเมืองชั่ว ที่สมคบจักรวรรดินิยมต่างชาติ
#ทุนสามานย์จงพินาศประเทศชาติจะพ้นภัย.”
ที่น่าสนใจ ไม่แพ้กัน นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หรือ “ท็อป” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“กราบขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทยทั้งประเทศ ผมไม่ได้สร้างความแตกแยกแต่อยากจะสร้างความรักที่มีต่อชาติ ศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ ให้สืบต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน ถึงเวลาแล้วครับที่พวกเราต้องแสดงให้เขาเห็นว่า ยังมีคนไทยอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขา เช่น ยกนิ้วให้ขบวนเสด็จ ฉีกพระบรมฉายาลักษณ์ เอารูปพระมหากษัตริย์ไปแปะไว้ข้างบันไดเขียนข้อความหยาบคาย ทำคลิปล้อเลียนพระมหากษัตริย์ จาบจ้วงด้วยถ้อยคำหยาบคายสกปรก
ถ้าขืนเราปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ให้พวกเขามาทำร้ายจิตใจเราต่อไปหรือครับ ผมคิดว่าวันข้างหน้าเราอาจจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พวกเราได้รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศได้ ผมขอพลังอันเป็นมหาพลังของทุกคนชาวไทยที่ยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในหัวใจ ลุกขึ้นมาปกป้องและเป็นกำลังใจให้พระองค์ท่านด้วยนะครับ
ผมจะไปทุกที่ทุกอำเภอทุกจังหวัด ถ้ามีการรวมพลังออกมาปกป้องสถาบัน ช่วยกันนะครับ ถึงเวลาแล้วครับที่ต้องให้เขารู้ถึงพลังของพวกเรา อย่ากลัว ถ้าเราทำในสิ่งที่ถูก กราบท่านนายอำเภอ กราบท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จัดให้พี่น้องประชนด้วยนะครับ ถ้าท่านไม่เริ่มก็คงจะยากที่พี่น้องจะออกมาครับ แล้วผมจะออกไปเดินเคียงข้างทุกๆ ท่านครับ
วันที่ 1 พ.ย.2563 เวลา 16.00 น. เจอกันที่วัดพระแก้วนะครับ เสื้อเหลืองกับชมพู งามจับตาครับ
วันนี้มีเพจปลอมบอกว่า ผมนัดให้ออกมา อย่าไปเชื่อนะครับ หน้าแฟนเพจ ของผมต้อง 9,500,000 คน ถ้าหลักหมื่นอย่าไปอ่านอย่าไปสนใจครับ กราบขอบคุณทุกๆ ท่านครับผม..”
ด้าน ด้าน เฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ของ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“การเมืองไทย ถูก internationalized ไปแล้ว ผ่านสถานทูตเยอรมัน เมื่อคืน 26 ต.ค. 63 ท่านคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น
ก. ลาออก / resign
ข. ยุบสภา / dissolve
ค. ถูกบีบออก / forced out
ง. รัฐประหาร / coup
จ. ผิดทุกข้อ / all wrong
หรือ .... ???”
รวมทั้ง เฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ของ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน โพสต์ข้อความ ว่า
“ทำไมบางคนชอบเสนออะไรเหมือนไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา เช่น ให้ยุบสภาตอนนี้ (จะได้เลือกตั้งใหม่ในกติกาเดิม) ให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน หรือ ส.ว.ลาออก (ได้เลือกตั้งซ่อม/ได้ ส.ว.บัญชีสำรอง)
รู้ว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่สงสัยว่า อยากได้ความสะใจ หรืออยากได้ประชาธิปไตย.”
แน่นอน, ทั้งหมดเห็นได้ชัดว่า เวลานี้ม็อบได้ประกาศยกระดับไปแล้ว โดยใช้ชื่อ “คณะราษฎร อินเตอร์เนชันแนล” และเริ่มใช้ชื่อนี้ครั้งแรก เป็นหัวหนังสือ ที่ยื่นต่อสถานทูตเยอรมัน และเชื่อว่า คงใช้อย่างต่อเนื่องในอีกหลายครั้งที่เดินเกมกับต่างประเทศ
และประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือ การยกระดับของม็อบ “3 นิ้ว” นั้น เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้อยู่แล้ว ว่า เป้าหมายที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นทางผ่านอยู่แล้วก็ตาม แต่เป็นการปฏิวัติสถาบัน ซึ่งก็ไม่เพียงปฏิรูปเท่านั้นเช่นกัน
สังเกตหรือไม่ บนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กันยายน นั้น มีการยิงตัวหนังสือคำว่า “เราไม่ต้องการแค่ปฏิรูป แต่เราต้องการปฏิวัติ” จากวันนั้นถึงวันนี้เห็นหรือไม่ว่าห่างกันแค่ไหน วันนั้นม็อบยังไม่ยกระดับเลย แต่เผยไต๋ออกมาแล้ว เพราะกระสันที่จะให้มันจบเร็ว เพราะฉะนั้น วันนี้ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น
คงเช่นเดียวกันกับพวก “อีแอบ” อยู่เบื้องหลัง ที่ต้องการอำนาจโดยใช้เด็ก เยาวชน ลูกหลานชาวบ้านเป็นเครื่องมือ ก็พยายามโชว์เนื้อหามาตลอดว่า ต้องการปฏิรูปสถาบัน ถ้าไม่ปฏิรูป ระวังจะถูกปฏิวัติ
หรือ ถ้ายังจำกันได้ แกนนำหญิงคนหนึ่ง ขณะถูกจับกุม เธอก็บอกในทำนองว่า จะไม่ใช่แค่เรียกร้อง “10 ข้อ” เท่านั้น... ซึ่งอาจหมายถึง 10 ข้อ คือ ปฏิรูป แต่ถ้าไม่ใช่แค่ 10 ข้อ ก็ต้องตีความกันเอาเอง
นี่คือ สิ่งที่อธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ม็อบ “3 นิ้ว” ต้องการอะไร ดังนั้น ต่อให้สภาประชุมหาทางออกกันจนน้ำลายท่วมสภา ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแล้วลาออกอีก หรือ มีนายกฯคนใหม่อีก 10 คน รัฐบาลจะบริหารประเทศดีจนได้โล่เกียรติคุณโลก ก็ไม่ใช่เรื่องที่ม็อบนี้จะยุติการชุมนุม
เพราะอย่าลืม ข้อมูลที่ถูกฝังหัว มันคือ เพจ “ล้มเจ้า” จากต่างประเทศเป็นหลัก และมีขบวนการให้ข้อมูลบิดเบือน จริงนิดเดียว นอกนั้นตีไข่ใส่สี เพราะด้วยความแค้นส่วนตัว อคติทางอุดมการณ์ จึงสร้างเรื่องทำร้ายสถาบันอย่างหน้าด้าน
ที่สำคัญ แม้แต่กลุ่มล้มเจ้าด้วยกันเอง ยังมีข่าวขัดแย้งโจมตีกันอยู่ไม่ขาด เรื่องการสร้างข่าวปลอมบิดเบือน เพื่อโจมตีสถาบัน โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น ก็คือ เรื่องที่เยอรมันนั่นเอง ซึ่งบางคนไม่เห็นด้วย
ในเมื่อชัดเจนถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ที่นักการเมือง ยังจะแกล้งโง่ต่อไปได้สักกี่น้ำ หรือว่า แท้จริงแล้ว เพราะที่หนุนม็อบ ยืนข้างม็อบ ก็คือ กลุ่มที่แสดงตนชัดเจนแล้วนั่นเอง???