หน.พลังธรรมใหม่ อภิปรายวอนสภาหาทางออกด้วยวิธีประชามติ ถามคนไทยทั้งประเทศอยากแก้ รธน.หรือไม่ เชื่อลดความขัดแย้งได้ พร้อมแนะม็อบให้ถอยเพื่อ ปชช.
วันนี้ (27 ต.ค.) นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า จากข้อเรียกร้องข้อหลักของผู้ชุมนุมคือ นายกฯ ประกาศยุบสภา หรือลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญตามร่างของประชาชน และปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งปรากฏว่าแกนนำหลายคนก็มีการนำเสนอว่าได้มองข้ามประเด็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ประเด็นหลักอยู่ที่ข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันฯ ดังนั้น ขณะนี้ความขัดแย้งหลักในสังคมไทย คือ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายปกป้องสถาบันฯ กับฝ่ายที่อ้างว่าปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตรงด้วย ถ้ารัฐสภาเปิดประชุมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะมีมติออกมาอย่างไร ก็จะมีฝ่ายหนึ่งพอใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่พอใจ เช่น ถ้ามีมติไม่ให้แก้ไขหมวด 1, 2 ฝ่ายปกป้องสถาบันฯ ก็จะพอใจ แต่ฝ่ายปฏิรูปสถาบันฯ ก็จะไม่พอใจ
“ผมขอเสนอทางออกที่จะลดความขัดแย้งและความเสี่ยงที่จะเกิดหายนะต่อประเทศ โดยเสนอให้รัฐสภาต้องร่วมกันหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด ที่จะทำประชามติถามคนไทยทั่วประเทศก่อนว่า คนไทยจะให้แก้รัฐธรรมนูญปี 60 หรือไม่ และถ้าให้แก้ จะให้แก้รายมาตราก็พอ หรือจะให้แก้มาตรา 256 และให้ตั้ง ส.ส.ร.มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะให้แก้หมวด 1, 2 หรือไม่ ถ้าให้แก้ จะให้แก้อำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่” นพ.ระวี กล่าว
นพ.ระวีกล่าวต่อว่า เมื่อมีผลประชามติออกมา รัฐสภาก็ดำเนินการตามนั้น ถ้ารัฐสภามีมติออกมาแบบนี้จะช่วยลดความขัดแย้งลงได้ระดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะมีผลประชามติออกมาในรูปแบบใดก็ตาม ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับตามระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้ารัฐสภาจะฝืนตัดสินใจรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างใดไปก่อนก็จะสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีกจากฝ่ายที่ไม่พอใจ อาจจะมีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภามีความผิดที่ไปลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยังไม่ได้ทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2555
“ถ้ารัฐสภาจะเดินหน้าแก้ไรรัฐธรรมนูญไปจนจบวาระที่ 3 แล้วค่อยนำมาทำประชามติ ถ้าผลประชามติ ประชาชนไม่เห็นด้วยก็ต้องมาเริ่มกันใหม่อีก อาจจะทำให้เสียเวลาและงบประมาณมากกว่าเดิม ผมขอสรุปว่ารัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านถามประชาชน 16 ล้านคนแล้วหรือยัง” นพ.ระวีกล่าว
นพ.ระวีกล่าวต่อว่า ตนมีโอกาสเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ทุกการชุมนุมตั้งแต่ 14 ตุลาคม 16 จนถึง กปปส.2557 ผมไม่เคยพบว่ารัฐบาลใดจะยอมรับความคิดเห็นของม็อบง่ายๆ ประชาชนจะมามากแค่ไหน ประชาชนตายหรือบาดเจ็บไปกี่คน รัฐบาลไม่เคยสนใจจะถอยง่ายๆ เลย ตนไม่ใช่คนที่จะอวยนายกรัฐมนตรี จุดยืนของคือการต่อสู้กับเผด็จการทหาร และเผด็จการรัฐสภามาโดยตลอด แต่ต้องเข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพราะสมาชิกพรรคพลังธรรมใหม่ทั่วประเทศต้องการให้พรรคเข้ามาปกป้องสถาบันฯ
นพ.ระวียังกล่าวต่อว่า สำหรับนายกฯ ประยุทธ์ ได้เริ่มมีการถอยบ้างแล้วในความขัดแย้งครั้งนี้ เช่น ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเมื่อสภามีข้อเสนอในการเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อแก้ปัญหา แต่จะสะดวกและรวดเร็วต้องให้รัฐบาลใช้มาตรา 165 ดำเนินการ เพราะเสียงฝ่ายค้านมีไม่พอจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ปรากฏว่าหนังสือจากสภายังไปไม่ถึงมือ ท่านนายกฯ ก็แถลงเห็นชอบแล้ว ที่จะเป็นฝ่ายเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อใช้เวทีสภาในการแก้ปัญหา นี่เป็นการถอยหลายก้าวของนายกฯ แล้ว หลังจากวันนี้คงเป็นหน้าที่ของฝ่ายผู้ร่วมชุมนุมแล้วครับว่า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในยุคโควิด ที่ประชาชนทั่วประเทศยากลำบากอย่างแสนสาหัส พวกน้องๆ จะถอยอย่างไร วันนี้การที่น้องๆ ไม่ได้มาชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา แสดงถึงสัญญาณที่น้องๆ ก็ได้เริ่มถอย เพื่อประชาชนแล้วเช่นกัน