อดีตรองโฆษก ปชป.แนะแกนนำม็อบสำนึกผิด ให้สัญญายุติชุมนุม-จาบจ้วง เชื่อศาลเมตตา มีสิทธิได้ประกันตัว หวังอยู่ในคุกทบทวนแทนคั่งแค้น หยุดอ้างปฏิรูปแต่ความจริงเป็นปฏิปักษ์ เลิกเป็นเหยื่อผู้ชักใยใช้โหนปลุกมวลชน
วันนี้ (27 ต.ค.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องแกนนำม็อบเยาวชนจะออกจากคุกได้อย่างไร มีเนื้อหาระบุว่า “หลังจากที่ผมได้เขียนเรื่อง “จบที่เรือนจำ” อธิบายถึงเหตุผลว่าทำไม นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง 3 ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มคณะราษฎร 2563 จะต้องนอนคุกยาว
เมื่อวานนี้ 26 ต.ค. 63 แกนนำทั้ง 3 คนก็ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลอาญาอีกครั้ง โดยศาลพิเคราะห์คำร้องปล่อยชั่วคราวแล้วเห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม มีคำสั่งยกคำร้องทั้ง 3 สำนวน มีคนสอบถามเข้ามาว่าทำไมทั้งสามคนถึงยื่นคำร้องประกันตัวต่อศาลทุกวัน ทั้งๆ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ในทางกฎหมายการยื่นประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นจะยื่นขอกี่ครั้งก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าจะยื่นทุกวันก็ได้เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม แต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติถ้ามีการอุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ประกันแล้วไม่ค่อยมีการกลับคำสั่งกัน นอกจากมีเหตุผลพิเศษจริงๆ ซึ่งเท่าที่ดูเหตุผลในคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วน่าจะยาก คงต้องนอนคุกยาว ยิ่งถ้าดูพฤติการณ์แห่งคดีแล้วยิ่งยากที่จะต่อสู้คดี ยังไม่รวมคดีที่ทั้งสามกับพวกพูดจาดูหมิ่น จาบจ้วง แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหามากษัตริย์อีกหลายคดี เพราะมีการพูดในทุกที่ทุกวัน
วันนี้เชื่อว่าทั้งสามก็คงจะให้ทนายความยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวต่อศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ผมยังเชื่อว่าศาลอุทธรณ์ก็คงจะมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเช่นเดิม เนื่องจากไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม เพราะเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมนั้นต้องมีเหตุพิเศษจริงๆ เพราะเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ได้วางไว้ในการสั่งยกคำร้องในครั้งก่อนว่า “...พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำตามข้อกล่าวหามีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลจำนวนมาก อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ชักนำให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน โดยการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของทางราชการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแล้ว ยังปรากฏว่าผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคดีในหลายท้องที่ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ในชั้นนี้หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่น และน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี กรณีสมควรรอฟังผลการสอบสวนก่อน คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”
ดังนี้ เหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมก็ต้องแสดงพยานหลักฐานให้ศาลมั่นใจว่าทั้งสามต้องไม่ไปกระทำความผิดซ้ำ อันอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก หรือจะไม่หลบหนี ผมจึงขอแนะนำว่าช่องทางเดียวที่จะให้ศาลเชื่อและมีคำสั่งปล่อยชั่วคราว คือ ให้แกนนำเยาวชนทั้งสามแถลงต่อศาล ให้คำรับรองว่าจะไม่ไปชุมนุมหรือกระทำการใดอันผิดกฎหมายขึ้นอีก เช่น ไม่พูดจาดูหมิ่น จาบจ้วงหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และถ้าจะให้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ให้ศาลได้ลดหย่อนผ่อนโทษก็ต้องลุแก่โทษว่าได้กระทำผิดลงไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดประสบการณ์ความยั้งคิด เพราะถูกบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังยุยงปลุกปั่นให้กระทำผิด อย่างนี้ศาลน่าจะอนุญาตให้ประกันตัวแน่นอน
ผมคิดว่าช่วงระยะเวลาที่อยู่ในเรือนจำ ทั้งสามคนจะค่อยๆ ทบทวนเหตุการณ์ คิดอย่างมีสติ ไม่ใช่อยู่อย่างคั่งแค้น จะได้ไม่สูญเสียวัยหนุ่มสาวไปกับการเฝ้ามองซี่ลูกกรง ยิ่งสำนึกได้เร็วเท่าไหร่ก็มีโอกาสออกมาทำคุณงามความดีสร้างประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้มากเท่านั้น แต่ถ้ายังจมปลักอยู่กับทัศนคติที่อ้างการปฏิรูป แต่ความจริงเป็นปฏิปักษ์ ก็คงยากเกินเยียวยา
จึงขอให้สติกับม็อบที่กำลังชุมนุมอยู่ในขณะนี้ว่าทำอะไรลงไปให้ไตร่ตรองให้ดี ให้ดูอุทาหรณ์ของสามแกนนำเป็นตัวอย่าง และอย่าโทษว่าศาลกลั่นแกล้ง เพราะศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และข้อเท็จจริงตามรูปคดี ผมเห็นด้วยในข้อเรียกร้องที่จะทำให้การเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่การละเมิดจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติมานับหลายร้อยปี เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น
หลังจากวันนี้ม็อบก็คงจะอ่อนแรงลงเพราะที่ผ่านมาถือว่าเป็นความสำเร็จของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้ว เนื่องจากเป้าประสงค์หลักไม่ใช่รัฐบาล แต่ต้องการให้ปั่นหัวให้เด็กเป็นอิฐก้อนแรกเพื่อเหยียบขึ้นไปต่อรองกับสถาบันฯ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว ต่อจากนี้ก็คงจะปล่อยให้เด็กติดคุกสู้คดีอยู่ในเรือนจำ จะได้เป็นเงื่อนไขในการเรียกร้องต่อไป นี่คือความโหดร้ายของผู้ชักใยที่หักหลังต่อศรัทธาที่มวลชนมีให้กับตัวเอง”