อดีตโฆษก ปชป. ชี้ 3 แกนนำคณะราษฎร ส่อคุกยาว หลังศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกัน ทำผิดรุนแรง ส่วนผู้ชักใยลอยตัว เชื่อคับขันพร้อมเทมวลชน เอาตัวรอด จวกขี้ขลาด ย้ำสถาบันคงอยู่ เปลี่ยนผ่านราบรื่น ผู้มีอำนาจต้องแยกจากขัดแย้งการเมือง ไม่ประเมินต่ำ
วันนี้ (25 ต.ค.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “จบที่เรือนจำ” ว่า เมื่อวานนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง 3 ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มคณะราษฎร 2563 ในหลายสำนวนคดี โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำตามข้อกล่าวหามีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลจำนวนมาก อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ชักนำให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน โดยการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของทางราชการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแล้ว ยังปรากฏว่า ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคดีในหลายท้องที่ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ในชั้นนี้หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่น และน่าเชื่อว่า ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี กรณีสมควรรอฟังผลการสอบสวนก่อน คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
นายเชาว์ ระบุด้วยว่า ในทางกฎหมายการยื่นประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้น จะยื่นขอกี่ครั้งก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าจะยื่นทุกวันก็ได้เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม แต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติถ้ามีการอุทธรณ์คำสั่งแล้วศาลที่มีอำนาจพิจารณากลับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้ ก็คือ ศาลฎีกา จึงมีหนทางเดียวที่จะให้ศาลปล่อยตัวแกนนำทั้งสาม ก็คือ ยื่นฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาให้พิจารณา แต่เท่าที่ดูเหตุผลในคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วน่าจะยาก คงต้องนอนคุกยาว ยิ่งถ้าดูพฤติการณ์แห่งคดีแล้วยิ่งยากที่จะต่อสู้คดี ยังไม่รวมคดีที่ทั้งสามกับพวกพูดจาดูหมิ่น จาบจ้วง แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกหลายคดี เพราะมีการพูดในทุกที่ทุกวัน จึงนึกไม่ออกว่าทั้งสามจะได้ออกมาสูดลมหายใจ ดูโลกภายนอกวันไหน
“นี่คือ ผลกรรมที่ทั้งสามกับพวกจะต้องได้รับตามกฎหมาย แต่นักการเมืองที่ชักใยปั่นหัวแกนนำเยาวชนเหล่านี้ กลับรอดตัวไม่ต้องติดคุกไม่ถูกดำเนินคดี เป็นความขี้ขลาด และความเห็นแก่ตัวของผู้อยู่เบื้องหลัง ที่ใช้เยาวชนที่ถูกปลุกปั่นจนเกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันหลักของชาติ มาเป็นเครื่องสังเวยเพื่อให้บรรลุต่อความต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศของตัวเอง แบบไม่มีความปรานีต่อผู้ที่รักและศรัทธาตัวเอง ซึ่งผมคิดว่านี่คือการทรยศต่อความไว้วางใจที่มวลชนมีให้ เพราะผมเชื่อว่าคนเหล่านี้ พร้อมจะทำแกงเทโพ แบบที่ม็อบทำกับตำรวจ โดยจะเป็น แกงเทmass หรือแกงเทมวลชน เพื่อเอาตัวรอดในยามคับขัน ขณะที่แกนนำที่คอตกเข้าคุกไป ไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่ สูญสิ้นอิสรภาพและวัยหนุ่มสาวไป เพราะคนที่เป็นได้แค่อึ่งอ่าง ไม่ว่าจะพองตัวแค่ไหน ก็ทำได้แค่ระเบิดตัวเองเท่านั้น”
นายเชาว์ ระบุต่อไปว่า ในส่วนตัวผมเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องบางขัอ แต่ยืนยันมาตลอดว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แบบที่ไม่มีเนื้อหาเชิงวิชาการใดๆ มารองรับ นอกจากการด่าทอ และคำอาฆาตมาดร้าย ซึ่งนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวันทุกเวที ผมแปลกใจว่าบ้านเมืองเราเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงมีคนกล้าพูดจา จาบจ้วง ด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่นรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ อย่าว่าแต่เป็นการกระทำมิบังควรต่อพระมหากษัตริย์เลย ไม่ว่าจะกระทำกับใคร ล้วนแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น จะอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ได้
“อยากเห็นสังคมที่ดีขึ้น อยากเปลี่ยนแปลงประเทศสู่หนทางที่สว่างไสว เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และน่ายินดีที่คนหนุ่มสาวมีใจคิดถึงการพัฒนบ้านเมือง แต่การเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าว รุนแรง บนฐานความเข้าใจที่บิดเบี้ยว คือ การบั่นทอนทำให้ชาติอ่อนแอ จากความขัดแย้งภายใน จนเสี่ยงต่อการถูกต่างชาติเข้าแทรกแซง เราเป็นชาติได้ก็เพราะสถาบันกษัตริย์ ซึ่งอยู่คู่กับแผ่นดินนี้มาหลายร้อยปีแล้ว และจะก้าวข้ามอุปสรรคแห่งความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่น ถ้าผู้มีอำนาจมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ และบริบทของสังคม อย่าใช้อำนาจมาทุบเอาเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้สถานการณ์บานปลาย ล่อแหลมที่จะเข้าสู่สงครามกลางเมืองที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นได้ และเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันทีคือ แยกสถาบันออกจากความขัดแย้งทางการเมือง แล้วให้คดีจบที่เรือนจำ” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย