“ก้าวไกล” แนะรัฐบาลรับฟังเสียงคนคิดต่าง และพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ อัด “บิ๊กตู่” พยายามสร้างเหตุการณ์ทุ่งสังหาร 6 ตุลา เอา ปชช.เป็นเหยื่อสร้างความเกลียดชังกันเองเพื่อปกป้องอำนาจตัวเอง “ชวน” ลั่นอย่ากลัวความจริง “ถวิล-สาทิตย์’ แจงไม่มีทุ่งสังหาร
วันนี้ (27 ต.ค.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายว่าเราไม่สามารถจะไล่คนที่เห็นต่างจากเราไปได้ รัฐบาลต้องรับฟังเสียงของคนคิดต่าง และเปิดโอกาสให้พูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ ถ้าแต่ละฝ่ายได้มีการรับฟังอย่างเคารพ ก็จะทำให้มีพื้นที่และยอมรับกันมากขึ้น แต่รัฐบาลไม่รับฟังเสียงของประชาชน และยังปฏิเสธว่าตัวเองไม่เคยทำผิดอะไรเลย ปัญหาก็เลยลุกลาม แถมยังใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ จับกุมประชาชนที่คิดต่าง ขู่ประชาชนที่ใช้โซเชียลฯ ถึง 3 แสนราย ปิดกั้นสื่อและคุกคามเสรีภาพสื่อ และที่ให้อภัยไม่ได้คือมีการสันนิษฐานว่าจะสร้างเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่นำมาสู่การสังหารหมู่ และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้น เช่น ทุ่งสังหารราชประสงค์ ปี 2553 และยังหาคนกระทำผิดมารับผิดชอบไม่ได้ แต่ยังมีการผลิตซ้ำคำว่า ‘ชังชาติ’ ‘ล้มเจ้า’ และสุดท้ายก็จะเป็นวงจรเดิมคือรัฐประหาร
นอกจากนี้ยังพบว่าศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความเสียดสีประชาชนที่เห็นต่าง และมีหลักฐานจำนวนมากว่ามีการเกณฑ์คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร มาใส่เสื้อเหลืองชุมนุมเคลื่อนไหว เพราะมีคนที่ถูกเกณฑ์จำนวนไม่น้อยไม่สบายใจต่อเหตุการณ์แบบนี้ สังเกตง่ายๆ จากทรงผม เป็นพฤติกรรมที่พยายามจะแบ่งประชาชนเป็นฝั่งเป็นฝ่ายและนำมาสู่การประทะกันเองของประชาชน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากเสื้อเหลืองที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี กลายเป็นความขัดแย้ง ที่มีชายเสื้อเหลืองปกป้องสถาบันฯ แต่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับถูกทำร้าย กลายเป็นว่าเสื้อเหลืองคือสัญลักษณ์ของการปกป้องอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือเช่นเหตุการณ์ความรุนแรงที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ท่าทีของ กอ.รฉ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ กล่าวโทษนักเรียนเนตรนารีว่าเข้าไปยั่วยุก่อน เป็นเหมือนการสัญญาณให้ความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง ให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าไปทำร้ายคนที่เห็นต่างได้ พล.อ.ประยุทธ์ เอาแต่หลอนว่าม็อบมีคนอยู่เบื้องหลัง ดูถูกประชาชน คิดว่าประชาชนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พอตัวเองไม่มีสติปัญญาในการบริหารบ้านเมือง กลับใช้มุกเดิมๆ ในสมัยสงครามเย็น สร้างปีศาลและยัดเยียดให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นศัตรู จากนั้นก็ปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดชังกัน จงใจสร้างความไม่สงบขึ้นมาเอง เอาประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นเหยื่อแล้วใช้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเครื่องมือ พอมีเหตุประทะกันก็ใช้อำนาจพิเศษ ใช้กฎหมายจัดการประชาชนที่คิดต่างอย่างเลือกปฏิบัติ
นายวิโรจน์กล่าวว่า ยืนยันว่าการขับไล่รัฐบาลที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ แบบ ‘โครงการไล่ประยุทธ์ผุดทั่วไทย’ ถ้ามีคนที่ต้องอยู่เบื้องหลังก็น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เปิดเผยนว่ารัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อพวกตน ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อประชาชน ประชาชนก็จะรู้ได้ว่าเป็นไม่ได้ว่าจะเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน เราต้องประคับประคองไม่ให้สังคมตกเป็นเหยื่อเงื่อนไขความขัดแย้งและความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้น เราต้องยอมรับว่าคนที่เห็นต่างมีอยู่จริง และต่างฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันให้ได้โดยไม่อาฆาตมาดร้ายต่อกัน แต่ถ้าทีที่รุนแรงเพราะถูกกดทับเรื่องความรุนแรง ในระบบอำนาจนิยม ชายเป็นใหญ่ อภิสิทธิ์กับผู้เกิดก่อน ระบบเส้น ระบบอุปถัมภ์ ระบบโซตัส สั่งให้ทำต้องทำห้ามถามห้ามสงสัย แต่ยุคนี้คนรุ่นใหม่เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่สามารถหาข้อมูลเองได้ เราต้องพูดคุยและเข้าใจพวกเขาด้วยสายใยทางสังคม และในฐานะเพื่อนร่วมชาติ และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ออกมาปกป้องสถาบันก็มีอยู่จริง
ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว.ลุกขึ้นประท้วงว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงไม่ตรง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวชี้แจงว่าตนได้ทักท้วงไปแล้วว่าไม่ให้กล่าวถึงหน่วยงานในอดีตที่เข้ามาชี้แจงไม่ได้ และถ้าเรื่องที่เขากล่าวถึงไม่ได้เกี่ยวกับตนโดยตรง ตนก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่ไม่ได้พาดพิงถึงตนโดยตรงก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจง แต่นายถวิลกล่าวว่า ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชื่อ แต่นายวิโรจน์กล่าวว่ามีการปราบปราม ตอนนั้นตนเป็นเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเหตุการณ์ 2553 ซึ่งต่างจาก 6 ตุลา เพราะตอนนั้นไม่ใช่การล้อมปราบประชาชน
นาชวนย้ำว่า ไม่ได้ผิดข้อบังคับอย่างใด แต่นายถวิลยังชี้แจงต่อว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ต่างจากเหตุการณ์ปี 2553 กลุ่มที่มาประท้วงเรียกร้องว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งมาตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ดังนั้น การเรียกร้องตรงนั้นไม่ใช่การเรียกร้องประชาธิปไตย แตกต่างจากเหตุการณ์ 6 ตุลา และอ้างว่าเหตุการณ์ 2553 เป็นการล้อมปราบประชาชน แต่ตนยืนยันว่าไม่มีการล้อมปราบ นปช. หรือสลายการชุมนุม ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ประท้วงว่า ผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ 2553 ไม่มีสิทธิขึ้นมาชี้แจง และนายถวิลเองไม่ใช่ผู้นำรัฐบาลในขณะนั้น ไม่ควรให้ลงรายละเอียดขณะนี้ใส่ร้ายคนอื่น นายชวนกล่าวว่าตนวินิจฉัยแล้วอย่าไปกลัวความจริง ให้นายถวิลชี้แจงต่อ
นายถวิลกล่าวต่อว่า เหตุการณ์ ปี 2553 ไม่มีครั้งใดที่รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุม และศาลวินิจฉัยว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุการณ์วันที่ 18-20 เป็นการกระชับวงล้อม เพื่อไม่ให้มีผู้ก่อเหตุร้ายใช้อาวุธ
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ประท้วงประธานว่าสิ่งที่พูดไม่เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาของประเทศ เป็นเหมือนการสุมไฟ นายชวนกล่าวว่า ถ้าเป็นการรื้อฟื้นเรื่องเดิมจะมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้น ตนเตือนนายวิโรจน์ไปแล้ว เมื่อกล่าวแล้วก็มีความเห็นไม่ตรงอีกด้านมีสิทธิที่จะชี้แจง นายวิโรจน์กล่าวว่า การใช้คำว่ากระชับวงล้อม หรือกระชับพื้นที่ก็แล้วแต่ ต้องยอมรับว่ามีคนไทยตายไป 99 ศพ และยังจับฆาตกรมาดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ได้
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นที่มีการกล่าวว่าเกิดทุ่งสังหาร ขอชี้แจงว่าไม่มีทุ่งสังหาร การดำเนินการตอนนั้นเป็นไปตามกฎหมาย และมีการตรวจสอบโดยสื่อและองค์กรอื่น มีการค้นหาข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการอิสระ โดยนายคณิต ณ นคร มีการตรวจสอบโดยการฟ้องศาล ฟ้อง ป.ป.ช. มีการตรวจสอบทางกฎหมายแล้ว