แกนนำ “3 นิ้ว” ระแวงกันเอง “สุวินัย” ชำแหละ 2 ข้อทำระส่ำ “อดีตเพื่อนทอน” ปัดจัด “ม็อบชนม็อบ” ยืนชิงตัดหน้า เพราะอีแอบใช้แผนดึงเยอรมันร่วมขัดแย้ง ด่วน!! “บิณฑ์” ลาออก “ร่วมกตัญญู” ปมจะตบเด็ก พร้อมเดินหน้าปกป้อง “สถาบัน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “ระส่ำ”
โดยระบุว่า “มีสิ่งที่น่าจับตาที่อยากแลกเปลี่ยนกับเหล่านักรบแห่งแสงและผู้สนับสนุนนักรบแห่งแสงทุกท่านดังนี้
(1) ในทวิตเตอร์ คนที่เคยไปม็อบคณะราษฎร เริ่มมีผู้ออกมาสารภาพว่า ตอนนี้ “เบิกเนตรแล้ว” หรือตาสว่างแล้ว หลังจากที่ตัวเขายอมเปิดใจเข้าไปรับฟังข้อมูลและรับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณูปการของสถาบันกษัตริย์ไทย
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกทวิตเตอร์ ซึ่งน่าจับตายิ่งว่า อุปทานรวมหมู่ของฝ่ายต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ได้เริ่มเสื่อมคลายลงแล้วกระมัง แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นก็ตาม
แต่นี่คือ #แสงสว่างดวงเล็กๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในความมืดบอดของโลกทวิตเตอร์ไทย
(2) ปรากฏการณ์เริ่มระแวงกันเองในม็อบคณะราษฎร
เมื่อมองในภาพใหญ่ตอนนี้ ผมจึงสรุปได้คำเดียวว่า #เกิดความระส่ำขึ้นในขบวนการต่อต้านสถาบันกษัตริย์ของฝ่ายนั้นแล้ว !!
จงช่วยกันขยายผลเถิดเหล่านักรบแห่งแสง #ด้วยการทอดไมตรีให้แก่ผู้ที่กลับใจแล้ว และด้วยการแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ผู้ที่เข้าใจผิดจึงถูกปั่นให้ออกมาชุมนุมกับม็อบคณะราษฎร ... เชื่อว่า ตอนนี้น่าจะมีผู้เปิดใจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแล้วในทวิตเตอร์ แค่รอพวกเขาออกมาเผยตัวเท่านั้นเอง”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pichit Chaimongkol ของ นายพิชิต ไชยมงคล อดีตโฆษกกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และเพื่อน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะกาวหน้า ที่เคยเคลื่อนไหวด้วยกันสมัยอยู่ “สนนท.” โพสต์ข้อความลักษณะการ “ถาม-ตอบ” ระบุว่า
Q : ทำไมกลุ่ม “ประชาชนคนไทย” ถึงต้องมาเคลื่อนไหว
A : ทางกลุ่มติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาโดยตลอด และมีความกังวลอย่างยิ่งต่อการที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องบางกลุ่ม กำลังจะดึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เข้าสู่เวทีความขัดแย้งภายในประเทศไทย อันเกิดจากความพยายามต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมือง เนื่องมาจากการกระทำที่ผิดกฎหมายของผู้นำของกลุ่ม ซึ่งรวมถึงการดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือด้วย เรายืนยันว่า ไม่ได้ออกมาเพื่อปกป้องรัฐบาล ส่วนเรื่องการแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาในรัฐสภาแล้ว ซึ่งเราร่วมติดตามอย่างใกล้ชิด
Q : การกำหนดวัน เวลา การยื่นหนังสือ ต้องการให้มีการชนกับผู้ชุมนุมบางฝ่าย หรือไม่
A : กลุ่ม “ประชาชนคนไทย” เรานัดหมายเพื่อยื่นหนังสือเวลาบ่าย 2 โมง ใช้เวลาไม่นานเมื่อเสร็จกิจกรรมก็จะกลับกันทันที ไม่อยู่รอกลุ่มผู้ชุมนุมบางกลุ่ม ที่มีผู้ใช้จินตนาการเลยเถิดว่า จะมีการปะทะกัน นั่นเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการคิดฝันโดยไม่มุ่งไปที่ข้อเท็จจริง ทางกลุ่มไม่ได้จัดกิจกรรมเพื่อนัดชุมนุมมวลชนเพื่อให้เกิดความรุนแรงอย่างแน่นอน
Q : เรากำลังดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย หรือไม่
A : กลุ่ม “ประชาชนคนไทย” ไม่ต้องการให้การชุมนุมทางการเมืองไปกระทบสัมพันธไมตรีอันดีอย่างยาวนานของทั้ง 2 ประเทศ และกลุ่ม “ประชาชนคนไทย” เคารพการดำเนินกิจการภายในของเยอรมนี แต่ไม่ต้องการให้เกิดการรับฟังข้อมูลฝ่ายเดียว จึงมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลเยอรมนี จะรับฟังและพิจารณาข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อระงับยับยั้งการบานปลายของสถานการณ์ที่จะสร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย อันเกิดจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือน และเป็นเท็จโดยเจตนาซึ่งเป็นสิ่งมิบังควรอย่างยิ่ง
Q : มีมุมมองอย่างไรกรณีผู้ชุมนุมนำประเด็นที่ฝ่ายค้านเยอรมนี ตั้งกระทู้ถามในสภา กรณีที่ประมุขของประเทศอื่นดำเนินงานการเมืองบนแผ่นดินเยอรมนี มาขับเคลื่อน
A : เพราะเหตุนี้ กลุ่ม “ประชาชนคนไทย” จึงอยากนำเสนอข้อมูลให้กับรัฐบาลเยอรมนีอีกด้านหนึ่ง เพราะผู้ชุมนุมพยายามสร้างสถานการณ์ที่เอื้อต่อประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยนําเอาความเชื่อทางการเมืองมาผสมผสานกับความเท็จ และข่าวปลอมที่แพร่หลายไปทางสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงมีการปฏิบัติงานด้านข่าวสาร (IO) ทำให้มีความเข้าใจผิดว่า สถาบันกษัตริย์ ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริง ทรงพยายามให้พระบรมวงศานุวงศ์อยู่เหนือการเมืองมาโดยตลอด”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พฤติกรรมทัวร์ลง หรือ ล่าแม่มดฝ่ายเห็นต่าง ยังคงอาละวาดไม่จบสิ้น โดยเฉพาะคนเด่นคนดัง ในวงการบันเทิง ดารานักน้อง แม้กระทั่งนางงาม
ล่าสุด เฟซบุ๊ก บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ หรือ “ท็อป” ได้ไลฟ์ชี้แจงเหตุการณ์กรณีโพสต์ว่า จะตบเด็กที่จาบจ้วงสถาบัน โดยประกาศลาออกจากมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยย้ำว่า
“ตนเองไม่สามารถทนต่อการจาบจ้วงได้ เพราะตนเองรักสถาบันยิ่งชีวิต ตนไม่เคยคิดจะตบเด็ก แต่พูดถึงเรื่องการชูนิ้วกลางให้ขบวน วันนี้ ถือว่าอัดอั้นมาก ต้องขอโทษมูลนิธิ อาสาสมัครทุกคน ที่เคยร่วมทำงานมาหลายสิบปี วันนี้ขอลาออก ต้องมีจุดยืนกับตัวเอง เพราะต้องการต่อสู้กับคนที่จาบจ้วง ขออย่าให้ไปว่ามูลนิธิเลย
“จะขอช่วยเหลือประชาชนเหมือนเดิม แต่คงไม่ได้ไปในนามมูลนิธิแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราต้องชัดเจน อย่าให้มันฮึกเหิม ไม่ใช่ใครออกมารักสถาบัน ก็ไปตามราวีเขา เชื่อว่า เด็ก 80% ไม่รู้เรื่องราว แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสู้”
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ ท่ามกลางกระแสโซเชียลฯ ที่มีการแชร์คลิปของ 2 หนุ่มคู่แฝดขวัญใจมหาชน “ท็อป-บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ซึ่งเป็นคลิปที่ทั้งคู่ออกมาพูดว่า ส่วนตัวแล้วไม่ขอยุ่งเรื่องการเมือง แต่ขอต่อต้านกลุ่มคนที่ล้มล้างสถาบัน เมื่อคลิปนี้ถูกเผยแพร่ ชาวเน็ตตั้งคำถามกลับ กลายเป็นประเด็นดรามาบนโลกออนไลน์
ล่าสุด ท็อป และ ไทด์ เผยผ่านอมรินทร์ ทีวี ว่า เจ้าตัวก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่เคยต่อต้านกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลง หรือการขอให้นายกฯ ลาออกแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้วงสถาบัน และไม่ได้เพิ่งรู้สึกจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นนานแล้ว เพราะมองว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สถาบันควรที่จะยืนหยัดคู่คนไทยตลอด
พร้อมกันนี้ ก็ยืนยันด้วยว่า ข้อเรียกร้องที่กลุ่มผู้ชุมนุมเขียนมานั้น บางข้อก็เป็นไปไม่ได้ และอย่าคิดท้าทายพลังเงียบของกลุ่มคนที่รักสถาบัน ตนเชื่อว่า ยังมีคนอีกหลายสิบล้านคนที่พร้อมจะออกมาต่อสู้เช่นตน
ในขณะที่ ไทด์ บอกว่า ทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้ล้วนสามารถคิดต่างได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรไปเกลียดหรือคอมเมนต์ด้วยคำหยาบกับคนที่คิดต่าง ควรที่จะเคารพสิทธิ์ของกันและกัน พร้อมกับอยากให้ทุกคนคิดตามว่า ที่เรามีประเทศไทยอยู่มาได้ทุกวันนี้ โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่นเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เพราะมหากษัตริย์หรืออย่างไร
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่า หลายๆ อย่างบนโลกมีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไปมาก การใช้ชีวิตของคนก็ต้องใช้ชีวิตแบบ new normal แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะยังคงอยู่ ก็คือ ความกตัญญู รู้คุณแผ่นดินเกิด ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถึงจะเรียกว่า เป็นคนไทยที่แท้จริง
เมื่อถามว่า กลัวเรื่องผลกระทบที่จะตามมาหรือไม่ “ท็อป” บอกว่า ไม่เคยคิดเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะงานของตน คือ หัวใจของประชาชน เป็นการออกไปช่วยเหลือพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องหางานละครเล่น เพราะฉะนั้นอย่าอันธพาลกับคนที่เห็นต่าง โดยเฉพาะกลุ่มเกรียนคีย์บอร์ดที่ตนยกให้เป็น “คนหน้าตัวเมีย” และคนกลุ่มนี้ไม่ต้องมาชอบ ไม่ต้องมาติดตาม หรือร่วมบริจาคกับตน เพราะรู้สึกว่า ถ้าคนกลุ่มนี้มาจะเป็นเสนียดแก่ชีวิตอย่างมาก
แน่นอน, ประเด็นที่น่าคิดอย่างมาก ก็คือ การรับข้อมูลที่ผิดบิดเบือน ของคนที่ไปร่วมการชุมนุม จะตาสว่างในเวลาอันใกล้นี้จริงหรือไม่ แม้ว่า ที่ ดร.สุวินัย โพสต์จะเห็นว่า เริ่มมีบางคนตาสว่างแล้วก็ตาม
เห็นด้วยว่า ถ้าเหล่าสาวกของกลุ่ม “ล้มเจ้า” ทั้งหลาย รับข้อมูลอีกด้านมากขึ้น ก็อาจชั่งน้ำหนักได้ว่า อะไรควรปักใจเชื่ออย่างฝังหัว หรือ ฟังหูไว้หู และคิดวิเคราะห์ตามอย่างมีสติ ว่า ถ้าไม่มีสถาบันคอยยึดเหนี่ยว เป็นศูนย์รวมจิตใจ มีแต่นักการเมือง ผู้โลภโมโทสันแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น เพราะประชาชนเอง ก็ยังเลือกตั้งเอานักการเมืองที่มีคุณธรรมเข้าไปในสภาเพียงน้อยนิด จริงหรือไม่ ลองคิดดู
ยิ่งตอนนี้ เริ่มคิดการใหญ่ วางแผนดึงต่างชาติหลายประเทศเข้ามาสนับสนุน การต่อสู้กับสถาบันอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมคู่ขนานใน 7 ประเทศ ตามกำหนดการของ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ล่าสุด การเดินทางไปยังสถานทูตเยอรมนีในประเทศไทย เพื่อให้แทรกแซงการเมืองในประเทศไทย ก็ยิ่งนับว่า ไม่เพียงประจานประเทศตัวเอง ยังบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศด้วย
เหนืออื่นใด ที่น่าเศร้าใจที่สุดก็คือ คนดีในประเทศไทย ที่ไม่เห็นด้วย หรือเห็นต่างกับการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก จากการถูกระราน และใช้กฎหมู่คุกคามในรูปของ ทัวร์ลง หรือ ล่าแม่มด หนักเข้าถึงขั้น “บอยคอต” สินค้า หน้าที่การงานก็มี
ถ้าเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น และยังคงมีบริษัทห้างร้าน สำนักงาน โรงงาน ผู้ผลิตทั้งหลาย บ้าจี้ตามด้วย คนไทยจะอยู่อย่างไร จะยอมรับในสิ่งที่รับไม่ได้อย่างนั้นหรือ เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มีงานทำ ไม่แม้แต่จะอยู่ดีมีสุข เราพร้อมรับกับสถานการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่??? ถามคนไทย!!!