xs
xsm
sm
md
lg

“ธนาธร” ย้ำ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” จวกยับ “ลุงตู่” ไม่กล้า “หมอวรงค์” ค้านนายกฯลาออก “กูรู” ชี้สมรภูมิรบ “สหรัฐฯ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ แกนนำม็อบ “คณะราษฎร 63” จากแฟ้ม
เปิดหน้าสู้! “ธนาธร” ซัด “ลุงตู่” ชุดใหญ่ เปิดสภาให้ “รัฐบาล-ส.ว.” กล่าวหา นักเรียน นศ. “ล้มเจ้า” ย้ำต้อง “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” “หมอวรงค์” แจงชัด ค้าน “นายกฯลาออก” “กูรู” ชี้ ม็อบไทยกำลังถูกใช้เป็นสมรภูมิ “สหรัฐฯ” ปิดล้อม “จีน”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความระบุว่า

[ การแถลงของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันนี้ไม่มีความจริงใจ ปัดความรับผิดชอบในฐานะนายกฯ และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ]

1. ข้อเสนอของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้แก้ไขปัญหาในสภา เป็นข้อเสนอเพื่อปัดความรับผิดชอบ และจะไม่เกิดขึ้นจริง

ประยุทธ์เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาโดยผ่านกลไกรัฐสภา แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกเลยว่า รัฐบาลมีท่าทีอย่างไรกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของนักเรียน นักศึกษา ประชาชน

ผมกล้ายืนยันว่า การประชุมสภาวิสามัญที่จะเกิดขึ้นนั้น คือ การซื้อเวลา จะไม่มีดอกผล หรือข้อสรุปอะไรที่เป็นแนวทางการหาทางออกร่วมกันของสังคม

ในทางกลับกัน การประชุมที่จะเกิดขึ้นจะเป็นเวทีที่ฝ่ายรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาใช้ในการกล่าวหานักเรียน นักศึกษา และประชาชนว่า “ล้มเจ้า” ต่างหาก

ประยุทธ์อ้างสภาเพื่อลอยตัวออกจากปัญหา ปัดความรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรีมาหลายครั้งแล้ว ทั้งที่ประยุทธ์มีโอกาสใช้สภาในการแก้ไขปัญหามาหลายครั้งจริงๆ แต่ไม่เคยใช้โอกาสเหล่านั้นในการแก้ไขเลย

การตั้งกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ไม่ก่อให้เกิดอะไร การตั้งกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา กรกฎาคม 2563 เมื่ออภิปรายในสภาแล้ว ก็ไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นเช่นกัน

เมื่อวาระในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา แทนที่ทั้ง ส.ส. รัฐบาล และ ส.ว. จะโหวตรับหลักการในวาระหนึ่ง ก็กลับตั้งกรรมาธิการศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญร่วมก่อนรับหลักการในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันที่ราดกองไฟ ก่อให้เกิดการชุมนุมใหญ่โตของประชาชนในรอบนี้

2. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้กำลังถอย แต่กำลังเปลี่ยนแนวทางในการจัดการกับคณะราษฎร 2563

ประยุทธ์แถลงว่า ให้ถอยคนละก้าว รัฐบาลจะถอยโดยการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

สำหรับผม นี่ไม่ใช่การถอย แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการจัดการกับประชาชน

จากแนวทางการจับกุมคุมขัง ดำเนินคดีกรณีขบวนเสด็จกับผู้ชุมนุม และใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุม จนถึงการใช้กลไกในการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน เข้ามาทดแทนการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะ

พวกเขากำลังปลุกให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง ให้ความขัดแย้งร้าวลึกยิ่งขึ้น จนประชาชนปะทะกันเองแทนเจ้าหน้าที่รัฐ

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ในหลายจังหวัด เราเห็นการเกณฑ์มวลชนผ่านเครือข่ายข้าราชการ, ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล, นักการเมืองท้องถิ่น, นายอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, ครู และ อสม. เพื่อแสดงความจงรักภักดี ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเราเห็นการระดมรณรงค์สื่อสารข้อความดังกล่าวอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์

หน้าที่ของรัฐคือ การปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้คนที่มีความแตกต่างอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในสังคม

วันนี้ รัฐไทยกำลังทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขากำลังโหมกระพือไฟแห่งความเกลียดชังให้ลุกลามในสังคมด้วยข้อหาล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ปลุกระดมประชาชนเกินจริง ทำให้ประชาชนทั่วไปเชื่อว่า นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการล้มล้างสถาบัน

เพื่อรักษาอำนาจของตนเอง รัฐบาลและชนชั้นนำจึงยัดเยียดข้อกล่าวหาเกินจริงเช่นนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เดียว คือ การทำให้ประชาชนใช้ความรุนแรงต่อกันจนบานปลาย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเข่นฆ่าประชาชน

3. ประยุทธ์ไม่กล้ายอมรับความจริงเรื่องข้อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

ในการแถลงมีคำพูดที่มีนัยยะแฝงแสดงถึงการไม่ยอมรับ และละเลยข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ซึ่งผมยืนยันในที่นี้อีกครั้งว่า การเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ไม่เท่ากับการล้มล้างแน่นอน

แต่ในเมื่อประยุทธ์ไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะยอมรับ “การดำรงอยู่ของข้อเรียกร้อง” ของผู้ชุมนุม แล้วจะเริ่มถอยกันได้อย่างไร

เมื่อไม่มีแม้แต่เจตจำนงในการหาทางออกร่วมกัน ดังนั้นการถอยคนละก้าวที่ประยุทธ์พูดถึง จึงไม่ใช่การถอยแน่ๆ

ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงใจเรี่องการถอย พรุ่งนี้ออกจากตำแหน่งเลยครับ”

ภาพ กลุ่มไทยภักดี จากเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ “แถลงการณ์ของกลุ่มไทยภักดี”

โดยระบุว่า เรื่อง #นายกต้องอยู่ต่อ

กลุ่มไทยภักดี ขอยืนยันว่า ท่าน พลเอก ประยุทธ์ ยังมีความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยมีเหตุผลดังนี้
1. ท่านเป็นนายกฯ ที่มาตามระบอบประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้ง และรวบรวมเสียงข้างมากได้ ตามหลักของรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนลงประชามติมา 16.8 ล้านเสียง

2. ฝ่ายต่อต้าน ยังไม่สามารถหาเหตุผลใดๆ รวมทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน ที่แสดงว่า ท่านทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง มานำเสนอต่อประชาชน มีเพียงข้อกล่าวว่าเผด็จการ

3. ยืนยันว่า ท่านไม่ใช่เผด็จการ ตามที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหา

4. การเรียกร้องให้ท่านนายกฯลาออก ก็เพียงเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ ฝ่ายผู้ชุมนุมรุกต่อ เพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

5. การเรียกร้องของผู้ชุมนุม ไม่ได้เป็นไปตามเหตุตามผลที่เกิดขึ้น เพียงแต่ใช้โซเชียลสร้างวาทกรรมกล่าวหา

ดังนั้น กลุ่มไทยภักดี จึงขอเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป ไม่เพียงแต่ในเรื่องความชอบธรรมของท่าน แต่หมายถึงการดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วย
#หยุดหายนะคือหน้าที่พลเมืองไทย

ภาพ การชุมนุมของม็อบ “คณะราษฎร 63” ข้างทำเนียบรัฐบาล ขณะมีขบวนเสด็จฯผ่าน จากแฟ้ม
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก กรณี “กูรู” ชี้ว่า “ม็อบไทย” คือ สมรภูมิใหม่วัดใจอิทธิพล “อินทรี สหรัฐ-มังกร จีน”!

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะต่อกรณีการชุมนุมประท้วงในประเทศไทย ณ เวลานี้ว่า เสมือนหนึ่งเป็นสมรภูมิใหม่ของเกมการชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ กับจีนแผ่นดินใหญ่ ในภูมิภาคเอเชีย

โดยเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า การชุมนุมประท้วงในไทย เช่น ที่กรุงเทพมหานคร แม้เป็นการชุมนุมโดยไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีแกนนำ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และทำให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน คล้ายกับการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า กลุ่มคนและองค์กรต่างๆ ที่มาเข้าร่วมชุมนุมประท้วงนั้น เช่น นักวิชาการ นักกฎหมาย ที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสหรัฐฯ รวมถึงผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมหลายคนก็มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสถานทูตสหรัฐฯ ในไทย และพวกนักการเมืองสหรัฐฯ ที่มีชื่อเสียง ขณะเดียวกัน ก็ต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่

พร้อมกันนี้ นักวิเคราะห์ได้หยิบยกกรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักการเมืองหัวก้าวหน้าของไทย เคยกล่าวเมื่อปี 2561 ว่า ถึงการไม่เห็นด้วยที่ไทยไปร่วมโครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่พาดผ่านลาว ไปยังสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมอภิมหาโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือวันเบลท์วันโรดของจีนแผ่นดินใหญ่

นอกจากนี้ นายธนาธร ยังได้เคยกล่าวโจมตีกองทัพไทยที่จัดสรรงบประมาณสำหรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตจากจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

นักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ไทยจะเป็นสมรภูมิใหม่ในการช่วงชิงอิทธิพลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่สหรัฐฯ ได้พยายามปิดล้อมจีน ด้วยการจับมือเป็นเป็นพันธมิตรจตุภาคี หรือ คว็อด อันประกอบด้วย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และ อินเดีย โดยนักวิเคราะห์บางคนเผยว่า จะเหมือน “นาโตแห่งเอเชีย” ที่ปิดล้อมจีน เช่นเดียวกับ นาโตยุโรป ที่ปิดล้อมรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ด้วยประวัติศาสตร์ไทยภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งห่างไกลจากการเมืองในอุดมคติ และในทางเศรษฐกิจของไทย ก็มีจีนเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุด ตลอดจนเป็นแหล่งลงทุนและตลาดท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของจีน จนส่งผลให้ไทยอยู่ในระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของจีนไปแล้วนั้น ก็จะทำให้สหรัฐฯ ยากที่จะฝ่ากำแพงอุปสรรคข้างต้นได้สำหรับสมรภูมิใหม่ชิงอิทธิพลกับจีนในไทย (ต่างประเทศ/สยามรัฐออนไลน์)

แน่นอน, ทั้งหมด เท่ากับตอกย้ำยืนยันใน 3 เรื่องสำคัญ คือ

1. นายธนาธร กับ กลุ่มผู้ชุมนุม “ปลดแอก” หรือ “ราษฎร 63” มีแนวคิด “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” เหมือนกัน

2. วันนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ความขัดแย้งในประเทศไทยที่มีอยู่สูงที่สุด ก็คือ ความต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ กับความต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

3. การชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยที่เป็นอยู่ มีหลายฝ่ายเปิดเผยข้อมูลและวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่า มีต่างประเทศแทรกแซง โดยคนไทยเป็นตัวเชื่อมประสาน หรือ ที่ถูกกล่าวหาว่า “ชักศึกเข้าบ้าน”

ส่วนถามว่า เป็นไปได้อย่างไรนั้น สิ่งที่ “กูรู” วิเคราะห์ก็มีเหตุผลไม่น้อยเหมือนกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อยู่ที่คนไทยทุกคน จะใช้วิจารณญาณอย่างไร ในการมองปัญหาที่เป็นอยู่ และช่วยกันแก้ไขปัญหา เพราะดูเหมือนปัญหาใหญ่จะมิใช่แค่การเมืองเสียแล้ว หากแต่ยังเป็นปัญหาสังคม วัฒนธรรม ตลอดจน อำนาจอธิปไตย และสถาบันหลักของประเทศด้วย ที่จะถูกทำลายล้าง ยึดครอง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

หาไม่ อาจสายเกินไป และมาโอดครวญในภายหลัง ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น