ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “เฉลิมชัย” ว่าไง ? ปูด “เสี่ย” คนสนิทนักการเมืองใหญ่ รับงานวิ่งเต้นตำแหน่ง “อธิบดีกรมชลประทาน” เรียกเงินสะพัดค่าเก้าอี้กว่า 400 ล้าน!
ที่ “กรมชลประทาน” กรมใหญ่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่ากันว่า เวลานี้มีเสียงร่ำลือกันสะพัดไปทั่วคุ้งน้ำ กระหึ่มไปถึงกระทรวง ถึงการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเพื่อขึ้นนั่งในตำแหน่ง “อธิบดีกรมชลประทาน” ที่ว่างลง จากการที่ “ดร.ทองเปลว กองจันทร์” อธิบดีกรมชลประทาน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทน “อนันต์ สุวรรณรัตน์” ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ที่เกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ฟังว่า เมื่อตำแหน่งอธิบดีว่างลง ภายในกรมชลประทานก็เริ่มกระบวนการคัดสรรมาตั้งแต่วันที่ 7ตุลาฯ คณะกรรมการประชุมที่มีปลัดกระทรวงฯเป็นประธาน ได้พิจารณาหลักเกณฑ์พร้อมกับแจ้งประกาศให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงทราบ แล้วเสนอชื่อมายังกระทรวง 2 ชื่อ เมื่อวันที่ 12-16 ตุลาฯ ที่ผ่านมา ก่อนจะมาถึงรอบชงชื่อ “แคนดิเดต” ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาเมื่อวานนี้ (20 ตุลาฯ)
ถ้าดูตามไทม์ไลน์นี้ก็เหมือนเป็นขั้นตอนปกติ แต่ที่ไม่ปกติเพราะมีข่าววงใน บอกว่ามี “ตัวละครลับ” คือ “เสี่ย ก.” คนสนิทนักการเมืองใหญ่ โผล่เข้ามา “แทรกแซง” ยื่นใบสั่งให้ รักษาการอธิบดีกรมชลประทาน เสนอชื่อบุคคลที่ตัวเองจิ้มไว้จะนั่งเก้าอี้อธิบดีเรียบร้อย โดยถูกทักท้วงติติงว่า ไม่ดูลำดับความอาวุโส หรือ ความสามารถที่จะทำงานกันเลย
งานนี้วิจารณ์หึ่งว่า “ผิดหลักการ” เพื่อหวังตัดโอกาสของคนที่อาวุโสอันดับหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นตัวเต็งในเรื่องคุณวุฒิ และความรู้ความสามารถออกไป ก่อนที่จะนำรายชื่อให้ เจ้ากระทรวง “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เสนอ ครม.พิจารณา ในวันที่ 27 ต.ค. 63
ปัจจุบัน กรมชลประธานมีรองอธิบดี 4 คน 4 สายงาน ประกอบไปด้วย “ทวีศักดิ์ ธนเตโชพล” รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา, “ประพิศ จันทร์มา” รองอธิบดีฝ่ายก่อสร้าง, “สุชาติ เจริญศรี” รองอธิบดีฝ่ายบริหาร และ “เฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์” รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ ซึ่ง 1 ใน 4 นี้ มีโอกาสที่จะขึ้นเป็นอธิบดีคนใหม่
แว่วว่า “เสี่ย ก.” เห็นช่อง จึงเคลื่อนไหวแบบมาเร็วเคลมเร็ว ติดต่อเจรจารับงานวิ่งเต้น เรียกรับผลประโยชน์อ้าง “ผู้ใหญ่” เพื่อการันตีผลงานได้เสร็จสรรพ งานนี้เงินสะพัด “กว่า 400 ล้าน” แถมมีคนเมาต์กันว่า มัดจำกันไปแล้ว100 ล้าน ที่เหลืออีก 300 ล้าน จ่ายตอนปิดจ๊อบ แต่งตั้งแล้วเสร็จ
ถามว่า ทำไมการวิ่งเต้นครั้งนี้ถึงต้องใช้ทุนสูง ก็ต้องบอกว่า ผลประโยชน์ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นักการเมืองมักจะโหยหากันทุกยุคทุกสมัย คงหนีไม่พ้น “กรมชลประทาน” เพราะเป็นกรมใหญ่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ และโครงการขนาดใหญ่การจัดการน้ำแต่ละปีๆ มีมูลค่ามหาศาล
เรื่องนี้ว่ากันไปแล้ว ทุกครั้งที่ถึงฤดูการโยกย้ายในวงราชการ มักจะมีข่าวการวิ่งเต้นของเหล่าข้าราชการตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง ซึ่งก็เข้าทางของ “เสี่ย ก.” ที่พรีเซนต์ตัวเองเป็นคนสนิทนักการเมืองใหญ่ คุยโวว่ามีเส้นสาย เข้านอกออกในกระทรวง ได้ตามใจปรารถนา ขันอาสาสานฝันของข้าราชการที่อยากจะขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดของเส้นทางอาชีพราชการให้ได้ นั่นก็ว่ากันว่า พอดีกับคนที่ชอบทางลัด นอกจากบุญนำพาวาสนาส่งแล้วต้องอาศัยนายหน้า ล็อบบี้ยีสต์ ที่จะวิ่งเต้น “ผู้ใหญ่” ผลักดันด้วยอีกแรง
ส่วนจะเป็นไปอย่างที่คุยโวไว้หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเล่าลือกันถึงตอนนี้ ก่อนที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.เกษตรฯ จะเสนอชื่ออธิบดีกรมชลประทานคนใหม่ ต่อ ครม. ให้พิจารณา วันที่ 27 ต.ค.นี้ ก็ต้องถามว่า ควรไม่ควร ต้องลงมาดูเรื่องนี้สักหน่อยหรือไม่ จริงเท็จเป็นประการใด
เรื่องแบบนี้คงปิดกันไม่ได้ “เฉลิมชัย” ต้องให้ตอบแก่ข้าราชการให้ได้ว่า การแต่งตั้งมีขบวนการวิ่งเต้นกันหรือไม่ อย่างไร ทำอย่างโปร่งใส และผลที่ออกมา ก็ต้องยอมรับกันได้
อย่าลืมว่ากรมชลประทาน เป็นกรมที่มีสำคัญเกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ หาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปล่อยให้มีการวิ่งเต้นตำแหน่งกัน โดยที่นักการเมืองรู้เห็นเป็นใจ ให้คนสนิทเที่ยวไปเรียกรับผลประโยชน์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างนี้ คำถาม คือ รัฐบาลจะไปรอดได้อย่างไร !!
ลำพัง “ศึกม็อบคณะราษฎร” ก็หนักอกหนักใจกันอยู่แล้ว นี่ยังมีเหตุ กินกันตะกรุมตะกราม ค่าเก้าอี้กันอีก หรือเห็นว่า เรือตู่โคลงเคลง ทิศทางลมแรง ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง มิสู้ทิ้งทวน แสวงหาผลประโยชน์ได้ก็ต้องเร่งทำ เพื่อเก็บเป็นทุนรอนครั้งต่อไปหรืออย่างไร ??
ต่างๆ นานา เหล่านี้ ขอทั่นรัฐมนตรี “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เจ้ากระทรวง ช่วยหาคำตอบ ตอบคำถามสังคมทีครับทั่น !!
** เมื่อเพื่อไทย ก้าวไกล และรัฐบาล ต่างสร้างดาวกันคนละดวง การเปิดสภาสมัยวิสามัญ คงเป็นได้แค่พิธีกรรมตามระบอบประชาธิปไตย
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเดินมาถึงจุดเผชิญหน้า เป็น “สงครามตัวแทน” ระหว่างรัฐบาลผู้กุมอำนาจรัฐ กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีฝ่ายค้านเป็นผู้สนับสนุน... และก่อนที่สถานการณ์จะพัฒนาไปถึงจุดที่มีการ “รัฐประหาร” หรือ “สงครามประชาชน” ทำให้หลายฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า ควรใช้เวทีสภาตามระบอบประชาธิปไตย ในการ “ประนอมอำนาจ” เพื่อคลี่คลายความตึงเครียด
ที่ประชุม ครม. เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) จึงมีมติให้ ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2563 ให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสอภิปราย แสดงความคิดเห็น และชี้แจงข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ลดปัญหาข้อขัดแย้ง โดยจะเป็นการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 165 ซึ่งคาดว่า จะมีขึ้นในวันที่ 26-27 ต.ค.นี้
มองตามรูปการแล้ว ในวันที่เปิดอภิปรายทั่วไป ฝ่ายค้านต้องรุมถล่มรัฐบาลโดยพุ่งเป้าไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี แต่มีจุดหมายคนละประเด็น
“พรรคเพื่อไทย” จะเน้นให้ยกเลิกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีลาออก ... ส่วน “พรรคก้าวไกล” เป้าหมายอยู่ที่ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”!!
“สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพิ่งออกมาตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันก่อนว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ต้นเหตุมาจาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนเดียวเท่านั้น ผู้ชุมนุมประกาศกดดันให้ลาออก พรรคเพื่อไทยจึงขอให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศลาออก...ย้ำชัดว่า “ลาออก” ไม่ใช่ “ยุบสภา” เพื่อไปเลือกตั้งกันใหม่ ...เมื่อนายกฯลาออกแล้ว คนที่จะมาเป็นนายกฯคนใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามกติกา คือ เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคการเมืองเคยยื่นไว้ เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตเลือก ... โดยพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” ที่อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรค
ไม่เพียงเท่านั้น “พรรคเพื่อไทย” ยังส่ง ส.ส.ไปยื่นฟ้อง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่อศาลแพ่ง ขอให้พิจารณาว่า ประกาศ และคำสั่ง อีกทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และประกาศแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ที่มารับผิดชอบสถานการณ์นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยขอให้มีการยกเลิกทั้งหมด...ซึ่งหากศาลฯ มีวินิจฉัยแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอน ก็แสดงว่า การกระทำของนายกฯ ครม. รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน ก็จะมีความผิดเข้าข่ายจงใจละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย ... พร้อมกันนี้ ก็ขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน และคุ้มครอง “การชุมนุม” เป็นการชั่วคราวด้วย
เรื่องนี้ ศาลรับไว้พิจารณา และได้นัดฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษา ในวันที่ 22 ต.ค.นี้
ส่วน “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเป็นอีกปีกหนึ่งของฝ่ายค้าน ก็เคลื่อนไหวกดดันก่อนจะถึงวันเปิดสภา ด้วยการออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้เลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ปล่อยประชาชนที่ถูกจับกุมทันที ... “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกฯ... พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต้องถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และเลือกนายกฯ คนใหม่ โดยไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของวุฒิสภา และ การเปิดประชุมสมัยวิสามัญต้องพ่วงการแก้ไข รธน. ยุติอำนาจของวุฒิสภาในการเลือกนายกฯ เข้าไปด้วย
“ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้าตอกย้ำว่า ที่ประชาชนออกมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ก็เพราะต้องการ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” พร้อมเสนอให้สภาตั้ง “คณะกรรมาธิการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” เพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องนี้ เพราะการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ต้องมิใช่การบังคับ การปราบปราม หรือการจงใจละเลยไม่พูดถึง
ข้างฝ่ายรัฐบาลซึ่งกำลังถูกกดดันอย่างหนัก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับขอให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเสียงเปิดเพลง “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี” ก่อนการแถลงข่าวหลังประชุม ครม. เหมือนเป็นนัยบอกกับสื่อ ว่า เกิดเป็นคนไทยต้องอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ขอให้ระลึกอยู่เสมอก่อนที่จะนำเสนออะไรออกไป ... และยังมีรายงานว่า ก่อนการประชุม ครม.จะเริ่มขึ้น นายกฯ ก็สั่งให้เปิดเพลงนี้ก่อนการประชุม...เมื่อเพลงจบนายกฯ ก็พูดกับที่ประชุมว่า “เมื่อเกิดมาเพื่อปกป้องสถาบันฯ ถ้าตายขอตายเพื่อสถาบันฯ” ซึ่งในที่ประชุมรายงานว่า ได้ประสานไปยังประธานสภาแล้วว่า ในระหว่างการอภิปราย ให้ระมัดระวังเรื่องการอภิปรายที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันฯ และให้ ส.ส.ของแต่ละพรรค ช่วยระวังป้องกัน หากมีการอภิปรายหมิ่นเหม่ ให้รีบประท้วงตัดบททันที
นายกฯ ยังได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ขณะนี้มีหลายพื้นที่ เริ่มออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันฯ อย่างเช่น ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งรัฐมนตรีหลายคนแสดงความเห็นด้วย...และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่นายกฯได้กล่าวในเชิงตัดพ้อว่า...“ที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกันนะ ที่ไม่มีใครใครช่วยปกป้องผมเลย” แล้วก็เสริมท้ายไปว่า “จริงๆ แล้ว ไม่ต้องปกป้องผมหรอก แต่อยากให้ช่วยกันปกป้องสถาบันฯ”....
จากนี้ก็คงต้องจับตาสถานการณ์จะเดินไปอย่างไร เมื่อฝ่ายค้านกลุ่มหนึ่ง อ้างถึงการชุมนุมของกลุ่มประชาชนมากดดัน ให้นายกฯลาออก ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง นั่งหน้าคีย์บอร์ดสั่งการนัดชุมนุม กดดันให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ และปล่อยตัวคน “จาบจ้วง” ที่ถูกจับกุม ... อีกฝ่ายหนึ่งก็เริ่มส่งสัญญาณให้ประชาชน ออกมาแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันฯ ขณะเดียวกัน ก็ปกป้องรัฐบาลด้วย
เวทีสภา ที่ตั้งใจเปิดขึ้นมาเพื่อลดความตึงเครียด จะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ หรือเป็นได้เพียงแค่พิธีกรรมตามระบอบประชาธิปไตย ก็คงต้องติดตามกันต่อไป