“สุดารัตน์” ชี้นายกฯญี่ปุ่นเลือกเยือน “เวียดนาม-อินโดฯ” ตอกย้ำไทยเสียแชมป์ผลิตรถยนต์ในภูมิภาค ส่งสัญญาณหายนะทางเศรษฐกิจไทย ครวญยึดอำนาจทำเสียโอกาสอื้อ เศร้าเปลี่ยนนายกฯไม่ได้ เหตุ รธน.ปูทาง “ระบอบประยุทธ์” สืบทอดอำนาจ
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.63 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า ข่าวที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเลือกที่จะเดินทางไปเยือนเวียดนามและอินโดนีเซีย ย้ำด้วยข่าวผู้ผลิตรถ Tesla จะไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าที่อินโดนีเซียและอินเดีย รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตของพานาโซนิคไปเวียดนาม คือการส่งสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทยว่า ไทยกำลังจะเสียฐานการผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับ 1 โดยหลังสงครามเวียดนามไทยได้เปลี่ยนฐานการผลิตจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรมมีการตั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไทยจึงเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก (Export Led Growth Economy) แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า FDI (Foreign Direct Investment) อันเป็นสินค้าหรือเทคโนโลยีของต่างประเทศ แต่มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เช่น รถยนต์ที่เราเป็นฐานการผลิตรถปิคอัพขนาด 1 ตันใหญ่ที่สุดในโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุด้วยว่า หากพิจารณาสินค้าส่งออกที่ทำรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก จะพบว่าเป็นสินค้าของต่างชาติที่มาลงทุนในไทยแทบทั้งหมด มีเพียงรายการเดียวที่เป็นของไทยคือผลิตภัณฑ์ยางพารา เหตุที่ต่างชาติมาลงทุนเพราะในอดีตไทยมีสิ่งจูงใจนักลงทุน ได้แก่ ค่าแรงถูก เป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจที่ได้เปรียบ มีกำลังซื้อ และการเมืองสงบ ที่สำคัญคือเราได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จากประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ทำให้นักลงทุนแห่กันมาลงทุนในไทยจนทำให้ไทยมีรายได้ที่มาจากการส่งออกถึงร้อยละ 70 ของจีดีพี แต่ปัจจุบันข้อได้เปรียบหรือแรงจูงใจเหล่านี้สำหรับประเทศไทยหมดไปแล้ว
“สมัยรัฐบาลไทยรักไทย เรามองออกล่วงหน้าว่า วันหนึ่งความได้เปรียบทางด้านสิทธิพิเศษทางภาษีจะหมดไป เราจึงเข้าสู่การเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ เพื่อเอามาทดแทนสิทธิพิเศษทางภาษีเป็นแรงจูงใจนักลงทุน แต่ผลจากการยึดอำนาจทำให้ประเทศคู่ค้าสำคัญหยุดการเจรจา จนกระทั่งเราถูกตัด GSP ทำให้ความได้เปรียบของไทยหมดไป นั่นคือต้นเหตุที่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตที่มีสาเหตุมาจากการยึดอำนาจ” แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุ
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุอีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยเรายังถูกซ้ำเติมด้วยกระแสคลื่นยักษ์อีก 2 ระลอกคือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล ที่ทำให้เกิด Disruption ในทุกมิติ แน่นอนกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาคธุรกิจ และยังมาเกิดโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวครั้งใหม่อย่างรวดเร็ว เราจะพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเดิมๆ ที่เป็นความสำเร็จในอดีตต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราต้องมองหา "ฐานรายได้ใหม่" จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ และมองหา"โอกาสใหม่"ให้เจอในโลกหลังโควิด-19 ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณของแผ่นดินต้องลงไปสู่การสร้าง"ฐานรายได้ใหม่" แต่ที่น่าเป็นห่วงคือจนบัดนี้ รัฐบาลยังไม่รู้สาเหตุของปัญหา รัฐบาลยังคงทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปในทิศทางเก่าๆ อย่าง EEC ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบในสายตาของนักลงทุนอีกต่อไปแล้ว
“ที่น่าเศร้าคือคนไทยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงมีการเลือกตั้งก็จะได้ พล.อ.ประยุทธ์ และระบอบประยุทธ์ อยู่ต่อไปอีก” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ.
ข่าวที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเลือกที่จะเดินทางไปเยือนเวียดนามและอินโนนีเซีย ย้ำด้วยข่าวผู้ผลิตรถ Tesla...Posted by คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan on Saturday, October 10, 2020