ใกล้ชุมนุมใหญ่ “14 ตุลา” “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ยกม็อบฮ่องกงถูกจับหลายสิบคน ให้ “ปลดแอก” เห็นจุดจบ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เตือนอย่าข่มขู่ คุกคาม ยั่วยุ ใช้ความรุนแรง “อานนท์” สวมบทเผด็จการสามนิ้ว ไล่ ปธ.ญาติวีรชน ลาออก!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ของ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ กรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย และอดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความ ระบุว่า...
🔻เมื่อวานอ่านข่าวเรื่อง ตำรวจฮ่องกง จับกุมม็อบฮ่องกง 69 ราย
(ชาย 55 ราย และ หญิง 16 คน) เนื่องจากมีส่วนร่วมในการชุมนุมที่ไม่ได้รับอนุญาต และความผิดอื่นอีก
เมื่อนึกถึงม็อบปลดแอกบ้านเรา จะมาถึงจุดนั้นหรือไม่
แต่เมื่อเห็นการขยันประกอบความผิดเพิ่มเข้าทุกวันๆ
ดูแล้ว น่าจะจบลงคล้ายๆ กัน
กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ไม่ว่าเมืองไหน ประเทศไหน
ต่อให้นานกี่ปีก็ต้องมาถึงจนได้ครับ 🔻
(ขอบคุณข้อมูลและภาพ เพจเฟซบุ๊ก-พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์)
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า
“เด็กๆ ในเมืองไทย ถูกจัดเป็นกลุ่มที่ได้รับความเอ็นดู และปรารถนาดีเป็นพิเศษ ด้วยคำพูดที่ถูกสอนมาว่า เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า หรือ เด็กคืออนาคตของชาติ
ในอดีต คุณลักษณะของเด็กไทย คือ ความอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เด็กจะไม่มีนิสัยก้าวร้าว
การชุมนุมทางการเมืองในอดีต ขบวนการนักศึกษาจะได้รับเครดิตจากประชาชน นักศึกษาจะระวังตัว ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาก้าวก่าย แทรกแซงหรือชี้นำ เพื่อไม่ให้พลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่จะถูกครอบงำและแสวงประโยชน์
แต่ทุกวันนี้ มันกลับตรงกันข้าม ประเด็นความเคลื่อนไหว ข้อเรียกร้องของนักศึกษา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนักการเมือง
การชุมนุมทางการเมือง คนมาชุมนุมจะมากหรือจะน้อย ไม่ใช่ประเด็น แต่การชุมนุมต้องไม่ใช่การข่มขู่ คุกคาม การยั่วยุ การใช้ความรุนแรง มิเช่นนั้น การชุมนุมเหล่านั้นจะหมดความชอบธรรม”
ด้าน เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ของ นายอานนท์ นำภา แกนนำ “ปฏิรูปสถาบันฯ” โพสต์ข้อความวันนี้ ว่า
“คุณอดุลย์ ควรลาออกจากการเป็นกรรมการญาติพฤษภาได้แล้วครับ
“ ...สุดท้ายนี้ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เชื่อมั่นในพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ที่ทรงให้แนวทางรู้รักสามัคคี จะทำให้ทุกฝ่ายน้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าวเพื่อร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตการณ์ของชาติครั้งนี้ไปด้วยกัน...”
โพสต์ดังกล่าวของนายอานนท์ สืบเนื่องมาจาก นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 ออกแถลงการณ์หัวข้อ “ปลดล็อกประเทศไทย...จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจช่วยชาติ” พร้อมลงท้ายแถลงการณ์ว่า สุดท้ายนี้คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เชื่อมั่นในพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ที่ทรงให้แนวทางรู้รักสามัคคี จะทำให้ทุกฝ่ายน้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าว เพื่อร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตการณ์ของชาติครั้งนี้ไปด้วยกัน.” (จากไทยโพสต์ออนไลน์)
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นที่น่าสนใจ จาก “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า
“ผมยังมองไม่เห็นปัญหาใดๆ ที่จะเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ที่แน่ๆ เรียกร้องให้ปฏิรูปนักการเมือง และพรรคการเมือง ให้พ้นจากการผูกขาดของนายทุน เป็นการเร่งด่วน”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางญาติวีรชน ร่วมกับคณะกรรมการจัดงานครบรอบ 44 ปี 6 ตุลา 2519 โดยมีองค์กรต่างๆ และตัวแทนพรรคการเมืองร่วมวางพวงมาลาและดอกไม้ ณ ลานประติมานุสรณ์ 6 ตุลา 2519
นายอานนท์ กล่าวรำลึกว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ผู้กระทำไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างแท้จริง และมีการปิดปากเงียบกับเรื่องนี้มา 44 ปี ซึ่งบังเอิญว่า ปีนี้คนรุ่นใหม่ได้พูดถึงปัญหานี้ในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง เหมือนคนที่จากไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เขาไม่ได้จากเราไป เขากลับมาเกิดในร่างคนรุ่นใหม่ เพื่อทวงถามความยุติธรรม วันนี้ วิญญาณของวีรชนผู้เสียชีวิตมาจุติใหม่ในร่างกายคนรุ่นใหม่วันนี้ ตนขอยืนยันว่า คนรุ่นใหม่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อตอบแทนวิญญาณผู้เสียชีวิตจะไม่สูญเปล่า และการต่อสู้ของพวกท่านจะจบในรุ่นเรา
นายอานนท์ ยังกล่าวอีกว่า วันนี้เราเห็นนักเรียน นักศึกษา ออกมาต่อสู้ ซึ่งตนคิดว่า เป็นความบังเอิญอย่างยิ่ง และเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้าสู่ปัจจุบันที่การต่อสู้มีลักษณะที่คล้ายกันมาก ถ้าจะพูดเหมือนหนังจีนต้องบอกว่า ล้างแค้น 10 ปี ก็ไม่สาย ตนคิดว่า คนที่ออกมาเคลื่อนไหวขณะนี้เป็นลักษณะของการออกมายืนยันความจริงว่า รุ่นพี่เราไม่ผิด มีความมุ่งมั่นในการเสียสละตัวเอง เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม สิ่งที่น่าหวาดกลัวของชนชั้นนำในสังคมไทย คือ เรามีความเข้มแข็ง และมีคนร่วมมากขึ้น แต่ฝ่ายชนชั้นนำไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ความศรัทธาที่ลดลง
ทั้งยังกล่าวด้วยว่า การชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเป็นการชุมนุมที่เป็นปกติ ซึ่งคนที่ออกมาร่วมชุมนุม เชื่อว่า เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น และมีความพร้อมที่จะมาร่วมชุมนุมจริงๆ เพราะตรงกับวันทำงาน ดังนั้น ตนคิดว่า วันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเป็นตัวชี้วัดของสังคมได้เป็นอย่างดี และการชุมนุมในวันดังกล่าวจะเป็นวันที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน กระบวนการในการจัดการเวที การจัดคนปราศรัย และการจัดการพักแรม คิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ซึ่งอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เพราะจะมีการรวมกันทุกกลุ่มครั้งสำคัญ รวมทั้งในส่วนภูมิภาคก็จะเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเชื่อว่าคนจะมาร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ”
เมื่อถามถึงความคาดหวังความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 14 ตุลาคม นายอานนท์ กล่าวว่า เราได้ส่งเสียงออกไปหลายครั้งในการชุมนุม แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ ซึ่งการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเป็นลักษณะของการประท้วง กดดัน ขยับเพดานการเรียกร้อง ไม่ใช่การแสดงพลังแล้วกลับบ้านอย่างเดียว แต่เป็นการสู้แบบม้วนเดียวจบ ค้างคืนแน่นอน เพราะเมื่อชุมนุมธรรมดาแล้วไม่ได้รับการตอบรับ การขยับเพดานการชุมนุมจึงเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งข้อเรียกร้องคือให้รัฐบาลประยุทธ์และองคาพยพออกไป เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญใหม่
เมื่อถามย้ำว่า การต่อสู้แบบม้วนเดียวจบคืออะไร นายอานนท์ กล่าวว่า ม้วนเดียวไม่ได้หมายความว่าจะจบในวันเดียว แต่เป็นการเริ่มต้นการขยายการต่อสู้แบบต่อเนื่องและม้วนเดียวจบ แต่ถ้าคนออกมาเป็นล้านก็จบในวันเดียว ซึ่งจะยืดเยื้อแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์....
แน่นอน, เห็นได้ชัดว่า ม็อบ “14 ตุลา” ยังหนีไม่พ้นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเจ้า ที่แกนนำระบุชัดเจนออกมาแล้วว่า จะไม่ลดเพดาน แถมจะขยับเพดานด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเป็นห่วงเป็นใย และเตือนด้วยความหวังดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำผิดกฎหมาย ด้วยการท้าทายอำนาจรัฐ การเดินขบวนไปยังที่ต่างๆ ที่สร้างความกดดัน จนอาจปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลทรัพย์สินทางราชการ รวมทั้งการประท้วงที่ก้าวร้าว ยั่วยุ จนนำไปสู่ความรุนแรง ฯลฯ
เหนืออื่นใด ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น ก็คือ ความก้าวร้าวรุนแรง ที่เกิดจากผู้นำ หรือแกนนำม็อบ อย่างอานนท์ ที่พร้อมข่มขู่ คุกคามกับผู้เห็นต่างได้ไม่เลือกหน้า แม้แต่ ประธานญาติวีรชน ที่เป็นผู้เสียสละ และต่อสู้มาก่อน ก็ไม่เว้น อย่างนี้ก็ยิ่งกว่า “เผด็จการ” และเหิมเกริมกับคนไทยอีกจำนวนมาก ที่เห็นต่างๆ ไม่ต่างกับ ประธานญาติวีรชน อย่างมหาศาล จะรบเจ้าและรบทั้งหมดเลยหรือ?