รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของ พณ.-ก.อุตฯ ในรอบ 1 ปี ชูผลงานประกันรายได้ ส่งออก ขยายกิจการโรงงาน ส่งเสริม SME
วันนี้ (6 ต.ค.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมในรอบ 1 ปี ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ที่สำคัญในรอบ 1 ปี เช่น 1) การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกพืชเกษตร 5 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงินรวม 71,202 ล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ 7.29 ล้านครัวเรือน 2) การนำทีมภาคเอกชนขายสินค้าทั่วโลก โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สร้างมูลค่าส่งออกรวม 94,822 ล้านบาท และสร้างมูลค่าจากการจัดงานแสดงสินค้าและจัดคณะผู้แทนการค้ารวม 54,192.68 ล้านบาท และพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ประสบความสำเร็จกว่า 13,000 ราย
3) การผลักดันการค้าชายแดน สามารถสร้างมูลค่าการค้าชายแดนรวม 1.02 ล้านล้านบาท 4) การจัดงานลดราคาสินค้าร่วมกับภาคเอกชน ทั้งงาน “พาณิชย์ ลดปัง ข้ามปี New Year Grand Sale 2020” ลดราคาสินค้าเฉลี่ย 30% คิดเป็นมูลค่า 21,600 ล้านบาท และงาน “พาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน ล็อต 1-5 ” ลดราคาสินค้ากว่า 8,700 รายการ ลดสูงสุดถึง 80%
5) การเป็นประธานรัฐมนตรีการค้า RCEP จนได้ข้อสรุปการเจรจาครบ 20 ข้อบท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับถ้อยคำทางกฎหมายของความตกลงดังกล่าว 6) การยกระดับร้านโชวห่วยเป็นสมาร์ทโชวห่วยได้กว่า 28,000 แห่ง และยกระดับสมาร์ทโชวห่วยเป็นสมาร์ทโชวห่วยดีลิเวอรี จำนวน 2,655 ร้าน 7) ยกระดับราคาเศษกระดาษช่วยซาเล้ง โดยการประกันราคารับซื้อเศษกระดาษขั้นต่ำกิโลกรัมละ 2 บาท (ราคาปรับเพิ่มจากเดิม 4 เท่า) คาดว่าจะสามารถช่วยซาเล้งได้ประมาณ 1.5 ล้านครัวเรือน
8) สร้างนักธุรกิจยุคใหม่ให้มีความพร้อมเข้าสู่การค้ายุค New Normal สามารถสร้างนักธุรกิจยุคใหม่รวม 19,087 ราย และ 9) การเพิ่มสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จำนวน 19 รายการ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่สินค้าดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกระทรวงอุตสาหกรรม มีผลการดำเนินงานที่สำคัญในรอบ 1 ปี อาทิ 1) การขยายกิจการทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 3,900 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 876,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน จำนวน 300,000 คน 2) การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME โดยอนุมัติสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐรวม 11,036 ราย วงเงิน 17,434 ล้านบาท 3) การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการโดยแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตต่างๆ
4) การดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรตัดอ้อยสด ซึ่งสามารถลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากการเผาอ้อย และลดการเผาอ้อยได้ 1.2 ล้านไร่ และรวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ จำนวน 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ 5) การดำเนินงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เช่น การพักชำระหนี้และเพิ่มวงเงินสินเชื่อ จำนวน 25,000 ล้านบาท การขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการภายใน 90 วัน