นายกฯ ให้ฝ่าย กม.พิจารณาร่างแก้ รธน.ของรัฐบาล ปัดล็อบบี้ ส.ว.เพื่อยื้อเวลา ป้องหน้าที่ ส.ว.ไม่ได้มีแค่เลือกนายกฯ ไม่ได้คิดอยู่จนโลกแตก ชี้ถ้าไร้ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ อยู่กันอย่างไร เกิดจริงใครเอาอยู่ เตรียมดำเนินคดีแกนนำม็อบ อดทนเต็มที่แล้ว
วันนี้ (25 ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมก่อนรับหลักการโดยใช้เวลา 1 เดือน ว่าตนไม่มีความเห็นอะไร เป็นเรื่องการทำงานของรัฐสภาที่สองสภาร่วมกันประชุม ซึ่งบรรยาอากาศในวันแรกก็เป็นไปด้วยดี แต่วันที่ 2 ก็เริ่มมีความขัดแย้งมากขึ้น การจะไปก้าวล่วงอะไรต่างๆ หลายคนก็รับไม่ได้ ส่วนการลงมติและเปลี่ยนแปลงมตินายกรัฐมนตรีไม่เคยต้องสั่งการอะไร ไม่ใช่ว่าทั้งหมดต้องเห็นชอบด้วยกันทั้งหมด และมีบางส่วนที่เห็นต่าง นี่ต้องเคารพความเห็นความแตกต่างดันไม่ใช่หรือ นั่นคือผู้ทรงเกียรติใช่หรือไม่ ทั้งนี้หากมีการใส่ร้ายว่ากล่าวกันในทงที่ไม่สุภาพ เป็นตนก็รับไม่ได้
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การชุมนุมของคณะประชาชนปลดแอก ที่นัดชุมนุมและเชิญให้หยุดงาน ในวันที่ 14 ต.ค. 63 ว่า คงไม่ต้องกำชับอะไร เพราะว่าทุกคนมีสิทธิ์คิดและทำอะไรก็ได้ ตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ต้องเครพกฎหมาย ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ก็มีปัญหามากมาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม โรคระบาด จึงอยากถามว่า สมควรทำหรือไม่ ทำเพื่ออะไร เพื่อใคร ใครได้รับประโยชน์ ก็ฝากให้คนไทยทั้งประเทศรวมกันคิดด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ประเทศไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และการทำความดีของทุกคน จะช่วยเป็นกุศลให้กับบ้านเมืองสงบสุข เมื่อวานนี้ได้ไปพบประชาชนที่ จ.เชียงราย ก็พบว่าประชาชนให้ความร่วมมือดีกับรัฐบาล ปัญหาที่พวกเขาสนใจกว่าในกรุงเทพฯ ก็คือเรื่องปากท้องของเขา อาชีพ รายได้ ซึ่งรัฐบาลก็ทำเต็มที่ในการดูแล ก็สิ่งที่อยากฝากให้ทุกคนดูแลบ้านเมืองด้วย
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ฝากกับคนไทยทุกคน ช่วยกันแก้ปัญหาร่วมกับภาครัฐและเจ้าหน้าที่เพราะที่ผ่านมาถือว่ามีงานหนัก และพยายามประคับประคองสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบมากที่สุด ซึ่งเราไม่ได้นิ่งนอนใจ ในการดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐาน วัตถุพยาน หากไม่เคารพกฎหมายจะอยู่กันอย่างไร อย่าลืมว่าความมั่นคงของประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศเวลานี้ ประชาชนอีก 60 กว่าล้านคนจะว่าอย่างไร เขาเดือดร้อนและยากลำบากอยู่ในขณะนี้ เราต้องให้ความสนใจกับทุกด้านและสร้างการเรียนรู้กับประชาชนให้บ้านเมืองสงบ มีความสามัคคีเราจะแบ่งแยกกันไม่ได้ เพราะอันตรายต่อประเทศชาติในเรื่องความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ รวมทั้งมีการบิดเบียนจากโลกโซเชียลฯ ขอประชาชนเลือกที่จะเสพจะเชื่อ ตัดสินใจให้ถูกต้องบนพื้นฐานภูมิกันที่ดี อย่าเชื่อมากจนเกินไป และควรตรวจสอบข้อมูลต่างๆก่อน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการใช้ถ้อยคำ หยาบคาย ผรุทสวาท ว่า เกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน
“ถ้าไม่มีชาติ ศาสน์ กษัติรย์ สถาบันจะอยู่กันอย่างไร ในประเทศไทย ผมไม่รู้ หรือใครเห็นด้วยก็แล้วแต่ แต่ผมคิดว่าเราคงอยู่กันอย่างนั้นไม่ได้ วันหน้าหากเกิดขึ้นมาจริงๆ แล้วใครจะเอาอยู่ ถ้าสู้กันไปกันมาอยู่แบบนี้ ไม่มีคนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ก็ฝากคนไทยทั้งประเทศ 60 กว่าล้านคน ช่วยกันดูแลด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าการตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างแก้ไขฯ เป็นการยื้อเวลาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนแรกตนคิดว่าจะเรียบร้อย แต่ในวันที่สองจะเห็นว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ตนคิดว่าทุกคนมีวุฒิภาวะ รักในศักดิ์ศรีของตนเอง เมื่อพูดจาก็ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปไม่ได้ ส่วนการชะลอไป 1 เดือน ก็เป็นไปตามกฎหมาย และกติกาของสภาฯอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้ไปดูในวันข้างหน้า ถ้าทุกคนสามารถผ่อนสั้น ผ่อนยาว ไปได้บ้างแล้วเดิน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตนเลย ไม่ได้ทำให้ตนดีขึ้นหรือเลวลง แต่เป็นเรื่องความคิดเห็นของทุกคน ตามที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตย จึงต้องรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายแล้วเดินหน้าไปด้วยความปรองดอง ซึ่งตนจะไม่ได้คาดหวังอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่ตนเห็นว่าวันแรกก็ดีอยู่ไม่ใช่หรือ
เมื่อถามว่ามีการล็อบบี้จากรัฐบาลให้ยื้อเวลาพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะล็อบบี้กับใครและผมจะไปสั่งใคร ส.ว. ก็มีเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา อย่าลืมว่าใน 250 คน 50 คนมาจากการเลือกของประชาชน ส่วนอีก 200 คน มาจากการแต่งตั้งจากบุคคลที่มีศักยภาพมีประสบการณ์ในการทำงานทั้งจากภาคราชการและเอกชน ขอให้รับฟังว่า ส.ว. ทำอะไรให้เสียหายหรือไม่ หลายคนมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับตนซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับตนอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของแต่ละกลไกทำงานกันมา ตนไม่ได้หมายความว่า จะอยู่จนโลกแตก เพราะฉะนั้นอะไรที่หารือกันได้ก็ขอให้หารือ จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือรายมาตรา ก็ต้องให้เกียรติสภาฯ เพราะเป็นตัวแทนจากประชาชนทั้งหมด หลายคนบอกว่า ส.ว. มาจากตน ซึ่งตนไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวทั้งหมด เป็นเรื่องของการกลั่นกรองขึ้นมา โดยตนเห็นในประสบการณ์ จึงอนุมัติไปเท่านั้นเอง เพราะทุกคนก็ทำหน้าที่ของตนเองมาโดยตลอดไม่ได้มุ่งหวังมาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และ ส.ว. ทำงานตั้งมากมาย
เมื่อถามว่าจะมีการชุมนุมขึ้นอีกหลายครั้ง จะมีการควบคุมได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นสักครั้ง ไม่อยากให้ใครใช้โอกาสนี้ทำให้ประเทศไม่ปลอดภัย ซึ่งในเดือนตุลาคมทุกปี ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่ปลุกระดมกัน ตนคิดว่าประวัติศาสตร์คือประวัติศาสตร์ ในส่วนของประวัติศาสตร์ที่ดีเราก็ออกมาทำ อันไหนที่ไม่ดีเราก็อย่าทำ ประวัติศาสตร์สอนให้เราเรียนรู้เหมือนสงครามโลก
เมื่อถามย้ำว่าใจของนายกรัฐมนตรีอยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่าให้ตอบว่าอยากหรือไม่อยาก แต่ตนตอบว่าไม่ขัดข้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนจะไปแก้ไขอย่างไรก็ไปว่ากันมา พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ทำให้เกิดการชุมนุม เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่เป็นการขับเคลื่อนของบุคคลบางคน การปฏิบัติการพูดจาอะไรต่างๆ ถ้าสื่อรับได้ คนไทยรับได้ ตนก็รับได้ แต่วันนี้ตนรับไม่ได้
เมื่อถามว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเพียงเรื่องระหว่างทางใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ให้คิดวิเคราะห์ดูว่าเขาคิดอะไรไปแต่ไหน ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดูอยู่
เมื่อถามว่าจะอธิบายอย่างไรว่าการลาออกและการยุบสภาฯ อาจไม่ใช่ทางออก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อทราบดีอยู่แล้ว จะใช้อำนาจอะไรมากดดันกันแบบนี้ เพราะวันนี้ยังมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกตัวอยู่ จะใช้ความรุนแรงกดดันอย่างนี้หรือ หรือใช้ความแตกแยกของคนทุกวัยหรือไม่ ขอให้มองว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการกระทำแบบนี้ เราก็รู้วัตถุประสงค์ว่าเขาทำเพื่ออะไร ซึ่งฝ่ายกฎหมายก็ลำบากใจ ตนได้คุยแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะกฎหมายก็คือกฎหมาย ไม่วันนี้ก็วันหน้า อายุความก็เยอะแยะไปหมด ดังนั้นตนไม่ต้องการไปปลุกให้คนมาต่อสู้หรือด่าตน บางครั้งตนก็อดทนซึ่งอดทนเต็มที่แล้ว