ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามาไฟฟ้าดับที่ “สิงห์เจ้าท่า” ต้องสืบให้สุดสิ้นสงสัย เผยหลายเรื่องไม่ชอบมาพากลที่บริเวณห้องคุมไฟ
มีคำตอบจากกรณีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่ “แพท สเตเดียม” ระหว่างการแข่งขันไทยลีก 2020 นัดที่ 5 ระหว่าง “สโมสรการท่าเรือ เอฟซี” เจ้าบ้าน พบกับ “สโมสรโปลิศ เทโร เอฟซี” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ในนาทีที่ 88 ขณะที่ผลการแข่งขันเสมอกันอยู่ 1:1 ออกมาเบื้องต้น โดยทางเทคนิคคาดว่า น่าจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย
แต่จากการเข้าชี้แจงของสโมการท่าเรือ ต่อสมาคมฟุตบอล และที่สิงห์เจ้าท่าได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ งานนี้ต้องบอกว่ามีข้อกังขา และความไม่ชอบมาพากลที่ต้องหาคำตอบให้สิ้นสงสัย โดยเฉพาะบริเวณห้องควบคุมไฟ
ว่ากันว่า จากการตรวจสอบ ที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ สั่งการให้ทีมช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญค้นหาสาเหตุอย่างละเอียด แล้วพบมีความผิดปกติของอุปกรณ์ภายในเครื่อง Air circuit breaker ภายในตู้ MBD (Main Distribution Board) ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่ในห้องควบคุมใต้โซน A ซึ่งเป็นตู้รับไฟฟ้าจากหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อควบคุมการจ่ายไฟไปยังจุดต่างๆ ของทั้งสนาม
จุดที่น่าสงสัย ก็คือ โดยปกติอุปกรณ์นี้จะมีอายุการใช้งานทั่วไปได้มากกว่า 15-20 ปี สำหรับสนาม “แพท สเตเดียม” ได้ดําเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ เมื่อปี 2556 รวมระยะเวลาเพียง 8 ปี !
ยิ่งเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า ห้องควบคุมซึ่งเป็นห้องของตู้ MBD (Main Distribution Board) นั้น ถูกเปิดทิ้งไว้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไฟดับ โดยไม่ได้ล็อกกุญแจเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
พร้อมๆ กับกล้องวงจรปิด CCTV ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว “ถูกปรับมุมกล้อง” ไม่ให้สามารถมองเห็นบริเวณห้องควบคุมตู้ MBD ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการควบคุมการจ่ายไฟไปยังจุดต่างๆ ทั้งสนาม และยังมีกล้องวงจรปิด CCTV ในจุดของสวิตช์เกียร์ หม้อแปลง ตลอดจนเสาไฟฟ้า เครื่องปั่นไฟสำรอง (Generator) ก็ถูกปรับมุมกล้องไม่สามารถมองเห็นจุดสำคัญๆ ได้ชัดเจน ซึ่งสโมสรได้ดําเนินการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลท่าเรือ ดังกล่าว
งานนี้ ต้องไขปริศนาความไม่ชอบมาพากล “มาดามแป้ง” สั่งลุยเต็มที่ ซึ่งได้ว่าจ้าง บริษัท Crawford & Company (Thailand) และ McLarens ซึ่งทั้ง 2 บริษัทฯ เป็นสาขาของบริษัทฯผู้ให้บริการสำรวจ วิเคราะห์ความเสียหายระดับแนวหน้าในต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการในทุกประเภทความเสียหาย มีวิศวกรชํานาญการ เช่น ไฟฟ้า โยธา เครื่องจักรกล ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เข้าดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ระหว่างที่รอคำตอบบทสรุป ดรามาที่เกิดขึ้นโดยที่สมาคมฯ ปรับให้ การท่าเรือแพ้ 0:2 และปรับ 50,000 บาท ก็ต้องถือว่าทีมสิงห์เจ้าท่า ของ “มาดามแป้ง” พยายามตรวจสอบและไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแก้ไขเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้การเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันไทยลีก 1 นัดต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก
ส่วนปมความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ก็คงต้องรอผลสอบสวนจากตำรวจกันต่อไป ...
อันที่จริงเกิดเรื่องทำนองนี้ ในวงการฟุตบอลเขาถือเป็นเรื่องใหญ่ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อยกระดับมาตรฐานไทยลีก พัฒนาวงการฟุตบอลให้หลุดพ้นวงจรอุบาทว์ที่มีภาพเงาทะมึนของมาเฟียบงการควบคุมมีอิทธพลเหนือวงการเหมือนในอดีต ซึ่งต้องฝาก ทั่นนายกฯ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ช่วยผลักดันลงมาดูแลเรื่องนี้จริงจังที แทนการนิ่งเฉยที่แฟนบอลเขาว่ากัน เรื่องนี้ “บิ๊กอ๊อด” ท่านเงียบผิดปกติ
** ใครอยู่หลังฉาก? ต้องลากออกมา ถุงมือยางฉาว 1.12 แสนล้าน งานนี้ “ลุงตู่-จุรินทร์” อย่าแค่เด้ง “ผอ.อคส.” ตัดตอนความจริงเหมือนหน้ากากอนามัย
กรณี “บอร์ด อคส.” หรือ องค์การคลังสินค้า ประชุมด่วนแล้วสั่งยกเลิกสัญญาซื้อขายถุงมือยางมโหฬาร ถึง 500 ล้านกล่อง มูลค่า สูงถึง 112,500 ล้านบาท ที่มี “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์” อดีตรักษาการ ผอ.อคส. เป็นผู้ดำเนินงาน ซึ่งก็เชื่อว่า ด้วยเหตุนี้เอง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ จึงถูกคำสั่งเด้งออกจากตำแหน่ง เข้ากรุที่สำนักนายกฯโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ลงนามมีผลตั้งแต่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา
ว่ากันว่า เรื่องราวมีที่มาเกิดจากการที่ “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” ในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งรักษาการ ผอ.อคส. ได้นำเงินของ อคส. ไปซื้อถุงมือยาง มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ผ่านการพิจารณาจาก บอร์ด อคส. แล้วต่อมาบอร์ดเห็นว่ารักษาการ ผอ.อคส. ไม่มีอำนาจอนุมัติงบประมาณเกินกว่า 25 ล้านบาท โดยข้อบังคับของ อคส. ระดับผู้อำนวยการ สามารถจัดหาวงเงินได้เพียงครั้งละไม่เกิน 25 ล้านบาท หากเกินกว่านั้น แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ต้องเสนอให้ประธานบอร์ด อคส. พิจารณา และหากเกินกว่า 50 ล้านบาท ต้องเสนอให้ที่ประชุมบอร์ดพิจารณา แต่ครั้งนี้ต้องจัดหาเงินมากถึง 2,000 ล้านบาท และไม่ได้เสนอให้บอร์ดพิจารณา บอร์ดจึงสรุปว่า การกระทำของ “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” เป็นการกระทำการลุแก่อำนาจโดยพลการ ไม่ผ่านที่ประชุมบอร์ด และไม่รายงานให้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ รับทราบ
ขณะเดียวกัน มาดูฝั่ง “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” บ้าง ได้บอกว่า กรณีที่เกิดขึ้น ได้ทำตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ไม่ได้มีการทุจริตแต่อย่างใด และเป็นความตั้งใจที่จะ “ล้างขาดทุน” ให้กับ อคส. โดยการจัดซื้อถุงมือยางเพราะมีผู้มาสอบถาม อคส.ว่า จะจัดหาถุงมือยางจำนวน “500 ล้านกล่อง” ให้ได้หรือไม่ เพื่อนำไปส่งออกสหรัฐฯ และยุโรป
“พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” จึงเห็นว่า มีโอกาสที่จะทำกำไรได้ จึงติดต่อผู้ผลิตไปหลายราย และมาได้ “บริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด” ที่เสนอราคามากล่องละ 225 บาท รวมมูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยภายใต้สัญญาระบุให้ อคส.ชำระเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท ภายใน 3 วัน ที่เหลืออีก 110,500 ล้านบาท จะจ่ายให้เมื่อผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของเป็นงวดๆ ตามมูลค่าสินค้า และมีระยะเวลาส่งมอบ 2 ปี
ส่วนที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของบอร์ด เพราะเป็นกรณีเร่งด่วน จึงได้เวียนขอเป็นมติเป็นการเร่งด่วนก่อนจัดซื้อ และมีการทำสัญญาถูกต้อง
เรื่องนี้ในมุมของ “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” หากมีเจตนาบริสุทธิ์จริงตามอ้างมาก็นับว่า “ลุงตู่” หรือ “จุรินทร์” สมควรตบรางวัลแทนที่จะลงโทษ เพราะถือเป็นผู้ที่พลิกวิกฤตโควิดให้เป็นโอกาส เพราะถุงมือยาง เป็นหนึ่งในสินค้าเครื่องมือแพทย์-เวชภัณฑ์ ที่ตลาดมีความต้องการสูง หลังเกิดโรคระบาดยิ่งมีหลายประเทศ รวมทั้งในประเทศเราเองพยายามซื้อถุงมือยางชนิดนี้ แต่ก็กลายเป็นสินค้าหายากและขาดตลาด
เห็นว่า “ธุรกิจถุงมือยาง” มีผลประกอบการพุ่งพรวด ผู้ผลิตถุงมือยางหลายราย มีคำสั่งซื้อข้ามปีไปจนถึงปีหน้า แต่ “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” กลับมีความสามารถจัดหาในปริมาณที่มหาศาลเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศได้ จัดว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ นอกจาก อคส. จะพลิกฟื้นฐานะรัฐบาลยังมีผลงานฟื้นฟูเศรษฐกิจจากออเดอร์ที่สูงถึงแสนล้าน
ทว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นไปในทางตรงกันข่าม มีการแสวงหาผลประโยชน์ ทุจริต ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา ลำพัง “พ.ต.อ.รุ่งโรจน์” จะทำแต่ผู้เดียว คงเป็นไปได้ยาก
ฟังว่า “บอร์ด อคส.” สั่งการให้ ผอ.อคส. คนใหม่ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และยังได้มอบอำนาจแจ้งความต่อดีเอสไอ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้อายัดเงินในบัญชีที่ อคส.ได้โอนให้กับบริษัทผู้ผลิตถุงมือยาง และให้ตรวจสอบเส้นทางเงินด้วย อีกไม่นานคงได้รู้ความจริง กัน
ช่วงที่โควิดระบาดใหม่คงจำกันได้ กระทรวงพาณืชย์ของ “จุรินทร์” เคยมีเรื่องหน้ากากอนามัยล่องหน โดยที่ต่อมาพบว่า มีออร์เดอร์ส่งออกมหาศาล จนหน้ากากอนามัยในประเทศขาดแคลน ราคาแพง โดยมีกระแสข่าวสะพัดว่า มีกระบวนการหากินกับหน้ากาก จากกลุ่มคนใกล้ชิดนักการเมือง แต่สุดท้ายความจริงก็ถูก “ตัดตอน” ไป ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจมาแล้วรอบหนึ่ง เสื่อมศรัทธารัฐบาลมาจนถึงทุกวันนี้
มาถึงกรณี ถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่ากวา 1.12 แสนล้าน คำถามต้องถามว่า เรื่องนี้รัฐบาลจะไปให้สุดทางมั้ย ? มีใครอื่นร่วมขบวนการนอกจาก อดีต ผอ.อสค. อีกหรือไม่ ใครที่อยู่เบื้องหลัง? ต้องลากออกมาให้สังคมได้รับรู้ให้หมด มิเช่นนั้น แค่เด้ง “ผอ.อสค.” หรือ จะเอาแค่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เป็น “แพะอ้วน” ตัวหนึ่งที่ถูก “ตัดตอน” ปล่อยให้ผู้สมรู้ร่วมคิด สั่งการ ลอยนวล นี่จะยิ่งตอกย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้ชอบเหลือเกินเรื่องตัดตอนความจริง อย่างน้อยๆ จากหน้ากากอนามัย มา คดีบอส ก็เห็นๆ กันอยู่
งานนี้ “ลุงตู่” และ “จุรินทร์” จะเอายังไงถามใจตัวเองดู.
** “ส.ส.รณเทพ” ชี้แจงเรื่องภาพโป๊กลางสภาฯ ท่ามกลางความกดดัน ...แต่หลายคนบอกว่าพูดได้ดี มีไหวพริบ เหมือนผู้เข้าประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส กำลังตอบคำถามคณะกรรมการ
ข่าวการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่ปกติแล้วมักจะเหงาๆ หงอยๆ กร่อยๆ ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคม รวมทั้งตัว ส.ส.ที่อภิปรายกันในสภาฯ เพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงที่สุดก็โหวตผ่าน ฝ่ายค้านงดออกเสียง
แต่การอภิปรายงบฯ เมื่อช่วงค่ำวันก่อน (16 ก.ย.) กลายเป็นข่าวฮือฮา เมื่อช่างภาพประจำรัฐสภา เห็น ส.ส.ท่านหนึ่ง กำลังจิ้มๆ เขี่ยๆ สมาร์ทโฟนก็เลยซูมกล้องเข้าไปดู ปรากฏว่า ภาพที่ปรากฏหน้าจอเป็น “ภาพโป๊” ก็เลยกดชัตเตอร์รัวๆ จากนั้นภาพก็ไปปรากฏในสื่อต่างๆ รวมทั้งในโซเชียลฯ เป็นเรื่องเป็นราว ดรามากันไป...ว่าทำตัวไม่เหมาะสมกับผู้ทรงเกียรติ ผิดที่ ผิดเวลา ผิดกาละ เทศะ !!
ส.ส.ที่กลายเป็นคนดังไปอย่างไม่คาดฝันในครั้งนี้ ก็คือ “รณเทพ อนุวัฒน์” ส.ส.ชลบุรี จากพรรคพลังประชารัฐ ที่อยู่ในกลุ่มของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน คนล่าสุด
“ส.ส.รณเทพ” โอดครวญว่าไม่ได้เป็นคน “หมกมุ่น” ในเรื่องอย่างว่า ...เพียงแต่มันเป็นความบังเอิญที่ระหว่างประชุมสภาอยู่นั้น ก็มีข้อความส่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ...ในหัวไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นการส่ง “ภาพโป๊” เข้ามา ก็เลยกดเข้าไปดูถึงได้รู้ว่าเป็นภาพอะไร จากนั้นก็มีการส่งข้อความตามมาว่า “ไม่มีเงินกินข้าว” จึงเห็นท่าไม่ดี ก็เลยลบข้อความทิ้งทั้งหมด ...ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้ ก็มองผมไปในภาพที่เสียหายไปแล้ว เสียหายอย่างมาก กระทบทั้งหน้าที่การงาน ทำให้ชีวิตผมตอนนี้พังไปทั้งหมดแล้ว...
... สิ่งที่ผมโดนอยู่ตอนนี้ มีแต่คนถาโถม ประณามผม เคยให้ความเป็นธรรมกับผมหรือไม่ ข่าวจะลงยังไงก็ได้ คนที่ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจหรอก ชี้แจงไปก็เข้าเนื้ออย่างเดียว พูดไปสื่อก็ไม่เชื่อ ผมจะไปแก้ตัวกับคนทั้งประเทศได้ยังไง ทั้งที่ผมทำดีมาตลอดชีวิต ผมอยู่การเมืองมานาน ไม่เคยทำความเสียหาย อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย แต่พอมาวันนี้ เห็นภาพนี้ ก็เอาแต่ประณามผม ไม่มีความเป็นธรรมให้ผมเลย...
จากนั้นก็สันนิษฐานว่าอาจเป็น “ศัตรูทางการเมือง” ที่หาทางกลั่นแกล้ง...เพราะจุดนี้เป็นจุดเดียวที่จะทำลายภาพลักษณ์ทางการเมืองของผมได้ !!
หลายคนฟังคำชี้แจงของ “ส.ส.รณเทพ” แล้วต้องยกนิ้วให้ว่าแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดัน บีบคั้นอย่างหนัก แต่ก็ “ฉลาดตอบ” เหมือนการตอบคำถามของผู้เข้าประกวด “มิสยูนิเวิร์ส” ที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในขณะนี้เลย
อย่างนี้ต้องมารู้จักภูมิหลังของ “ส.ส.รณเทพ” กันหน่อย...
... เป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบ ปี 2519 เป็นทนายความ ที่มีความรู้ความเชียวชาญด้านกฎหมาย ระดับ “นิติศาสตรมหาบัณฑิต” จาก ม.รามคำแหง ...เนติบัณฑิตไทย...ผ่านการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรการพัฒนาเมือง สำหรับผู้บริหารท้องถิ่น รุ่นที่ 5 วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า ... หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การบริหารงานภาครัฐและกฎหมาย มหาชน รุ่นที่ 8 สถาบันพระปกเกล้า ...หลักสูตรวิทยากรกฎหมาย ป.ป.ช. ... หลักสูตรกฎหมายมหาชน รุ่นที่ 16 ม.ธรรมศาสตร์ ...เคยเป็น อาจารย์พิเศษ ม.บูรพา วิชากฎหมายพื้นฐานของ คณะรัฐศาสตร์ ...อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยการอาชีพพานทอง จ.ชลบุรี วิชากฎหมายพาณิชย์ และธุรกิจ
ผลงานด้านการเมือง...เคยเป็น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ...รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ...ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี...รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ก่อนจะมาเป็น ส.ส.เขต 3 พื้นที่ย่าน อ.พนัสนิคม พานทอง จ.ชลบุรี สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดได้กว่า 5 หมื่นคะแนน เอาชนะคู่แข่งจากพรรคอนาคตใหม่ ขาดลอย
เมื่อมาเจอเรื่อง “ภาพโป๊” เข้าไปอย่างนี้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้แต่บอกว่า เดี๋ยวเรียกมาคุย...ขณะที่ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา ก็บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องลักษณะนี้ ในฐานะประธานสภา ก็ได้เคยเตือนไปแล้วว่าให้ระมัดระวังเพราะสื่อมวลชนจับจ้องอยู่ ...แต่ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ก็ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยัง ประธานสภาฯ เพื่อสอบสวนลงโทษทางจริยธรรมแล้ว
ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า หากมีการตั้งกรรมการสอบจริยธรรม... ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอย่าง “ส.ส.รณเทพ” จะชี้แจงได้ชนะใจกรรมการหรือไม่ !!