ข่าวปนคน คนปนข่าว
** พิรุธไฟดับสนามท่าเรือ ตั้งใจมาเกิดเหตุช่วง “มาดามแป้ง” ขัดแย้ง “สมยศ” ? ที่แน่ๆ ฉุดวงการฟุตบอลเข้าสู่ยุคอิทธิพลมืด งานนี้วาน นายก ส.บอล ช่วยดูหน่อย
หลังจากที่ไม่นานมานี้ มีความขัดแย้งด้านความเห็นระหว่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุมพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลกับบรรดาทีมสมาชิกไทยลีก กรณี VAR โดย “พล.ต.อ.สมยศ” จะตัดค่าใช้จ่าย เลิกใช้ อ้างว่าไม่มีเงินจ้าง แต่บรรดาสมาชิกก็ไฟต์กันหนัก เพราะเล็งเห็นความสำคัญของ VAR เทคโนโลยีที่ฟุตบอลลีกมาตรฐานเขาใช้กัน โดยเฉพาะ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรท่าเรือ จัดเงินบริจาคให้ 16 ล้าน จนเป็นข่าวฮือฮาหักหน้านายกสมาคม
คล้อยหลังการปะทะกันทางความคิดระหว่าง “มาดามแป้ง” กับ “พล.ต.อ.สมยศ” ดังกล่าว ล่าสุดก็เกิดเหตุไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ใน พ.ศ.นี้ เมื่อมีเหตุการณ์ไฟสนาม “แพท สเตเดียม” ของการท่าเรือ เอฟซี เกิดดับขึ้นมาในเกมโตโยต้า ไทยลีก นัดที่ 5 ของฤดูกาล 2020/21 ที่พบกับ “มังกรโล่เงิน” โปลิศ เทโร เอฟซี ซึ่งทำให้เจ้าถิ่นส่อถูกปรับแพ้ ด้วยสกอร์ 0-2 และปรับเงินอีก 50,000 บาท
เรื่องนี้ถูกมองว่ามีเงื่อนงำไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะแว่วข่าวจากวงในว่า ก่อนเกิดเหตุมีสายเตือนเข้ามาที่ “มาดามแป้ง” ให้ระวังจะมีปัญหาในแมตช์การแข่งขันแมตช์นี้ โดยหลังจากผู้บริหารสโมสรได้สัญญาณเตือนมา ก็ไม่ประมาท จัดกำลังตำรวจ และ รปภ. ดูแลเต็มที่ แต่ก็ไม่คาดคิดว่า ผู้ไม่หวังดีจะลงมือก่อเหตุทำไฟสนามดับ
งานนี้ทำให้ “มาดามแป้ง” ต้องเร่งหาคำตอบคลี่คลายปริศนา จึงได้ประสานช่างไฟฟ้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เจ้าของสถานที่ และของ บมจ.เมืองไทยประกันภัย ตรวจหาสาเหตุไฟดับ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเครื่องปั่นไฟทำงานปกติ แต่ที่พบพิรุธชัดเจน คือ กล้องวงจรปิดบริเวณเครื่องปั่นไฟ ถูกมือดีจัดการบิดหักมุมกล้องทำให้ไม่สามารถบันทึกภาพได้
ขณะเดียวกัน แฟนฟุตบอลในโลกโซเชียลฯ ต่างได้ตั้งประเด็นในเรื่องนี้ ว่า ไฟสนามแพท สเตเดียม ดับมีคนได้และเสียประโยชน์เกิดขึ้นแน่นอน โดยคนเสียประโยชน์ชัดเจนคือท่าเรือ แล้วใครกันที่ได้ประโยชน์ ?
นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยว่าเหตุไม่เคยเกิด แต่มาเกิดตอน “มาดามแป้ง” กำลังมีเรื่องความคิดเห็นแย้งกับนายกสมาคม จะใช่ “คนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร?” ซึ่งสนิทแนบแน่นกับคนที่กุมอำนาจในวงการฟุตบอล ซึ่งก็ว่ากันถึงเรื่องนี้ หากจะทำกันได้จะต้องเป็นการสั่งการ และร่วมมือกันของคนระดับมีอิทธิพลในวงการฟุตบอล เหนือการท่าเรือ เจ้าของพื้นที่หรือไม่ ?
ไม่ว่ามองกันแบบไหน ที่แน่ๆ เหตุการณ์นี้ ย่อมสร้างความหวั่นวิตกต่อ “วงการฟุตบอลไทยลีก” ให้ย้อนยุคไปสู่การถูกอิทธิพลมืดครอบงำ มี “มาเฟีย” อยู่เบื้องหลังอีกครั้ง
แถมยิ่งเมื่อรวมกับประเด็นที่พูดๆ กันว่า คนเป็นนายกเวลานี้ “พล.ต.อ.สมยศ” เวลานี้ ก็กำลังมีข่าวอื้อฉาวกับกรณีเป็นตัวละครที่เข้าไปพัวพันกับขบวนการ “ปั้นความเร็ว” ใน “คดีบอส” วรยุทธ อยู่วิทยา จนเป็นที่มาอัยการสั่งไม่ฟ้อง แฟนบอลเพลียหัวใจเต็มทน กับความไม่ธรรมดาของทั่นนายก ส.บอลคนนี้
งานนี้ คงต้องวาน “พล.ต.อ.สมยศ” ลงมาดู มาหาคำตอบเหตุไฟดับที่ท่าเรือหน่อยแล้ว.
**“โจ๊ก” ลุ้นขอกลับไปเป็นข้าราชการตำรวจอย่างยิ่งใหญ่...จะเป็นจริงหรือไม่ งานนี้อำนาจการลงนามอนุมัติอยู่ที่ “นายกฯลุงตู่” แต่การตัดสินใจอาจจะอยู่ที่ “Deep State” ก็เป็นได้ !!
ทำตัวโลว์ไปรไฟล์มาตลอด แบบร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นเข้าทำเนียบ หลังถูกย้ายขาดจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ... แต่จู่ๆ เมื่อวานนี้ (14 ก.ย.) “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ก็โผล่มาที่ทำเนียบ เพื่อเข้าพบ “รองวิษณุ” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเจ้านายคนใหม่
ทำเอานักข่าวต่างคาดการณ์กันไปว่า น่าจะมาหารือเรื่องขอโอนย้ายจากสำนักนายกฯ กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่ตนเองได้ตั้งความหวังมาตลอด...เพราะเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ที่ร้างราจากการแต่งชุดสีกากี ...ซึ่งระหว่างนั้น “โจ๊ก” ก็เอาแต่ออกเดินสาย บนบานศาลกล่าว ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงชะตาราศี ขอให้ได้กลับมาเป็นตำรวจอีกครั้ง ...ที่เห็นเป็นข่าว ก็มีทั้งไปไหว้ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช... บนบาน “ไอ้ไข่” วัดเจดีย์ นี่ก็ไปมาแล้ว...ยังบินไปบวชที่อินเดียอีก
ล่าสุดที่ “เป็นข่าว เป็นคลิป” ฮือฮา ก็เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ไปที่วัดบางกระดาน จ.พิษณุโลก เพื่อทำพิธีเสริมดวงโชคชะตา ขอพร “พระอุปคุต” ถวายเครื่องสักการะชุดใหญ่ จัดทั้งพิธีพุทธ พิธีพราหมณ์ ...จากนั้นก็ไปสักการะ พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรถ และ พระสุพรรณกัลยา กล่าวคำบูชา ขอพึ่งบารมีของทั้ง 3 พระองค์ ช่วยดลจิต ดลใจ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ได้เมตตาพาให้สมหวัง
โดยเฉพาะไฮไลต์ ช่วงปิดท้ายก่อน ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ที่ริมน้ำ “โจ๊ก” พนมมืออธิษฐานเสียงดังว่า... “ขอปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปลาดุก ปลาช่อน เพื่อช่วยชีวิตให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนไปสู่ธรรมชาติอย่างมีความสุขและปลอดภัย และขอให้นำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตของข้าพเจ้า ทั้งชัยชนะ ฆ่าศัตรูหมู่มาร และขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมหวังได้กลับเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจอย่างยิ่งใหญ่ ต่อไปโดยเร็ว ตั้งแต่บัดนี้เทอญ”...
เมื่อนักข่าวเห็น “โจ๊ก” เข้าหา “รองวิษณุ” จึงอดคิดไม่ได้ว่า ...หรือด้วยแรงอธิษฐานจะเป็นจริง !! จึงรอถาม “รองวิษณุ” ก็ได้ความว่า มารายงานความคืบหน้าของงานที่ได้มอบหมายไป ...พร้อมบอกว่าความจริงแล้ว “โจ๊ก” มาหาบ่อย แต่นักข่าวไม่เห็นเอง ส่วนงานที่มอบหมายให้ดูแลก็เป็นงานเกี่ยวกับการรับเรื่องราวร้องทุกข์
นักข่าวก็ถามเปรี้ยง!! เข้าประเด็นว่าได้มีการคุยกันเรื่องขอย้ายกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ... รอง “วิษณุ” ตอบแบบให้ไปคิดเอาเองว่า “โจ๊ก” ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับตนเอง แต่จะพูดกับคนอื่นหรือไม่นั้น ไม่ทราบ... ส่วนจะได้กลับหรือไม่ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่นายกฯคนเดียว
หากว่ากันตามช่องทางกฎหมายแล้ว “โจ๊ก” สามารถขอโอนย้ายกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หรือไม่นั้น “รองวิษณุ” บอกว่า ในคำสั่ง คสช.ที่ 9/2562 ได้เขียนไว้ว่า ... ผู้ที่เคยถูกคำสั่งให้มาอยู่ในอัตรากำลังชั่วคราว 20 อัตรา ก็ยังให้อยู่ต่อไปจนกว่าปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จะได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี โดยรายงานว่า บัดนี้หมดความจำเป็นแล้ว ก็จะได้พิจารณาดำเนินการอย่างอื่นต่อไป ซึ่งช่องทางก็มีอยู่เช่นนี้ และที่ผ่านมาก็มีคนได้กลับไปโดยวิธีนี้บ้างแล้ว...
แสดงว่ายังมีความหวัง ยังมีโอกาส !!
แม้การย้าย “โจ๊ก” จะเป็นไปตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่มี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ลงนาม และถ้าจะมีคำสั่งย้ายกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ “โจ๊ก” ได้แต่งเครื่องแบบสีกากีอีกครั้ง ก็อยู่ที่ “นายกฯลุงตู่”...
ต้องไม่ลืมว่า แม้อำนาจการลงนามอนุมัติจะอยู่ที่ “ลุงตู่”...แต่อำนาจการตัดสินใจอาจจะอยู่ที่ “Deep State” ที่เคยเรียกใช้งาน ให้เป็นมือ เป็นไม้ก็เป็นได้ ... ก็ต้องจับตากันต่อไปว่า “โจ๊ก” จะได้กลับไปเป็นข้าราชการตำรวจอย่างยิ่งใหญ่ ตามที่ได้เดินสายบนบานศาลกล่าวไว้หรือไม่ !!