เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว ถามว่า มีพรรคการเมืองไหนบ้างที่ลุ้นกันจนตัวโก่ง และจริงจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มากที่สุด ... คำตอบเท่าที่เห็นในเวลานี้ก็ต้องบอกว่าน่าจะเป็น “พรรคเพื่อไทย” มากที่สุด และยิ่งได้เห็นท่าทีในเวลานี้ ก็พอจะมั่นใจได้ว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละ โดยเฉพาะท่าทีที่มีต่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ถือว่าผิดแผกไปอย่างน่าสังเกต
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงผลลัพธ์ข้างหน้ามันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลก โดยเฉพาะกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือว่าจะเป็นแบบแก้ไข มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็ตาม
ที่ผ่านมา หากมองจากการเคลื่อนไหว และท่าทีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถือว่าพรรคเพื่อไทยเดินเกมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรัดกุม พยายามปิดช่องโหว่ทุกมุม เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่พวกเขาต้องการให้ได้ โดย 4 ญัตติร่างแก้ไขดังกล่าวที่เสนอเข้ามาเพิ่มเติม คือ
1. ยกเลิกอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 272 โดยพรรคเสนอเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีนอกจากเลือกจากบัญชีของพรรคการเมืองแล้ว สามารถเลือกจาก ส.ส.ได้ด้วย และได้เสนอร่างนี้เช่นเดียวกับร่างแก้ไข มาตรา 256 ไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการฯ
2. ยกเลิกอำนาจของวุฒิสภา ตามมาตรา 270 เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ และ มาตรา 271 เกี่ยวกับการไม่เห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายเกี่ยวกับ แก้ไขเพิ่มเติมโทษ หรือองค์ประกอบความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฯลฯ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีผลให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดหรือโทษ ที่เสนอโดยสภาผู้แทนราษฎร
3. ยกเลิกมาตรา 279 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลที่ทำให้ประกาศ คำสั่ง และการกระทำของ คสช. อยู่เหนือกว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพ
4. แก้ไขระบบเลือกตั้ง ด้วยการยกเลิก มาตรา 88, 83, 85, 90, 91 และ 94 โดยแก้ไขระบบเลือกตั้งให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 คือใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือเลือกคน และเลือกพรรคการเมือง
แน่นอนว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 4 ฉบับดังกล่าว บางทีมันก็เหมือนกับการ “บอกผ่าน” ให้มีการ “ต่อรอง” อะไรประมาณนั้น เพราะเมื่อพิจารณาจากทั้ง 4 ฉบับแล้ว ดูแนวโน้มเป็นไปได้สูงมากที่อาจตกไปบางฉบับ เนื่องจากมีบางฝ่ายไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะจากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องที่เกี่ยวกับ ฉบับที่ 2 และ 3
แต่ถึงอย่างไรหากพิจารณาจากเป้าหมายหลักที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยต้องการให้มีการแก้ไขให้สำเร็จ นั่นคือ การแก้ไขในฉบับที่ 2 ที่เกี่ยวกับ มาตรา 272 การลดอำนาจของ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ รวมไปถึงให้นายกฯ มาจากการเลือกของ ส.ส.ได้ด้วย นอกเหนือจากบัญชีของพรรคการเมือง และฉบับที่ 4 ที่ต้องการแก้ไขให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ และวิธีคิดคำนวณคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2540
เชื่อว่า หลายคนก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก และในเวลานี้ถือว่า “กระแส” ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังมา เพียงแต่ว่าจะออกมาแบบไหน ระหว่างการแก้ไขบางมาตรา ที่ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องใช้เงินงบประมาณในการแก้ไขจำนวนมากนับหมื่นล้านบาท หากมีการแก้ไขทั้งฉบับ ที่นอกจากว่าใช้เวลานานอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองปี แล้วก็ยังไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าจะแก้ไขได้สำเร็จ แต่หากเป็นการแก้ไขบางมาตรา ที่จำเป็นเร่งด่วนก็สามารถทำได้ก่อน
ที่สำคัญ สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว นี่น่าจะเป็นเป้าหมายหลักที่ต้องการแก้ไขให้สำเร็จให้จงได้
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้หากมองให้ลึกในรายละเอียดแล้วทำไมพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล จึงมีการ “ขบเหลี่ยม”กันอยู่ในที เพราะทั้งสองพรรคมีการทับซ้อนกันในเรื่องระบบการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมากที่สุด และการแจ้งเกิดของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ก็เป็นผลพวงมาจากความผิดพลาดที่ “เล่นใหญ่เกินตัว” ของพรรคเพื่อชาติ จนพังทั้งกระดาน
แต่คราวนี้เมื่อมีโอกาส พรรคเพื่อไทยก็เดินเกมอย่างเต็มที่ แต่มาแบบรัดกุมและมีท่าทีที่ซอฟต์ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะท่าทีกับฝ่าย ส.ว.ที่ออกมาถึงขั้นในลักษณะ“ออดอ้อน”กันเลยทีเดียว เพราะรับรู้ว่า ไม่ว่าจะแก้ไขแบบไหนก็ต้องพึ่งพาเสียงของส.ว.ไม่น้อยกว่า 84 เสียงถึงจะสำเร็จ
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วสำหรับการแก้ไข มาตรา 272 ที่เกี่ยวกับการลดอำนาจในการร่วมโหวตเลือกนายกฯ ก็มี ส.ว.ไม่น้อยที่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว อีกทั้งหากอดใจรออีกสองปี มาตรานี้ก็หมดสภาพตามบทเฉพาะกาลไปอยู่แล้ว
รวมไปถึงการแก้ไขที่เกี่ยวกับการย้อนกลับไปสู่ระบบการเลือกตั้งแบบใช้บัตรเลือกตั้ง สองใบ ก็ถือว่าหลายพรรคการเมืองหรือแทบทุกพรรคก็เห็นไปในทางเดียวกันก็มีแนวโน้มว่าเป็นอีกมาตราหนึ่ง ที่น่าจะสำเร็จไม่น้อย แต่อย่างไรก็ดีนาทีนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน เพราะทุกฝ่ายยังไม่ตกผลึกดีนัก ต้องรอสถานการณ์อีกสักพัก แต่ก็เริ่มเห็นแนวทางที่แจ่มชัดมากขึ้นแล้ว
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย นาทีนี้หากให้โฟกัสกันแบบเฉพาะพรรค ก็ต้องบอกว่า “จริงจังมาก” และลุ้นให้เป้าหมายในฝันของตัวเองทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะในร่างแก้ไข ฉบับที่ 4 ที่เกี่ยวกับการกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ เพราะเชื่อว่าทำให้ตัวเองกลับมาได้เปรียบ มีโอกาสชนะเลือกตั้ง มีลุ้นกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกรอบ และนี่อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมถึงได้มีท่าทีออดอ้อน สุภาพกับ ส.ว.กันจนผิดสังเกต !!