xs
xsm
sm
md
lg

กกต.ชูเลือกตั้งท้องถิ่นรากฐาน ปชต. “วุฒิสาร” เชื่อแข่งรุนแรง แนะตั้งโจทย์ไม่แตกแยก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปธ.กกต.จัดกิจกรรมให้ความรู้สื่อมวลชนกับการเลือกตั้งท้องถิ่น ระบุเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นรากฐานสำคัญการปกครองระบอบ ปชต. เลขาฯ ส.พระปกเกล้า เชื่อแข่งขันรุนแรง แนะตั้งโจทย์หลังเลือกตั้งต้องไม่แตกแยก

วันนี้ (11 ก.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดกิจกรรมให้ความรู้สื่อมวลชนกับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือว่ามีความใกล้ชิดกับประชาชน ทำหน้าที่การบริหารตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงถือว่าเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการปกครอง และการบริหารท้องถิ่น และตระหนักถึงความรับผิดชอบความหวงแหนท้องถิ่นของตัวเอง อันจะนำไปสู่ความเลื่อมใสศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ดังนั้น การเลือกตั้งท้องถิ่นจึงสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเลือกตั้งระดับประเทศ หากประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศก็จะเข้มแข็ง

จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “มุมมองการเลือกตั้งท้องถิ่นกับภารกิจ กกต.” โดยนายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือรากฐานประชาธิปไตย เป็นรากฐานให้ประชาชนมีอำนาจอย่างแท้จริงในการเลือกคนมาเป็นตัวแทน เพราะหลักการการปกครองท้องถิ่นคือการดูแลตัวเอง ทั้งนี้ ความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนในการตัดสินใจเลือกผู้มาบริหาร ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นควรมีเป้าหมาย 3 ขั้น คือ 1. คนใช้สิทธิเยอะ บัตรเสียน้อย แสดงให้เห็นว่าคนตื่นตัว และเข้าใจระบบเลือกตั้ง 2. การเลือกตั้งที่มีเสรีภาพและยุติธรรม ได้คนที่เหมาะสม ตรงต่อเจตนารมณ์ประชาชนจริงๆ ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง และ 3. หลังการเลือกตั้งแล้วประชาชนไม่แตกแยกกัน ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นแตกต่างกับการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะประชาชนมีความใกล้ชิดกัน การเลือกตั้งที่ดีหลังการเลือกตั้งประชาชนต้องไม่แตกแยก หรือเป็นศัตรูถาวรกัน ซึ่งจะเป็นความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งท้องถิ่นในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญเพราะบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นคนในท้องถิ่นมีบทบาทหน้าที่ทำงานเพื่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะพิจารณาจากผลงานและสิ่งที่จะทำให้ท้องถิ่นในอนาคตเรียกว่าการเมืองเชิงนโยบาย สามารถจับต้อง ตรวจสอบการทำงานได้ ถือเป็นการเมืองเชิงนโยบายท้องถิ่น ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจและร่วมตรวจสอบ

“เชื่อว่าเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่รุนแรง เพราะว่างเว้นมานาน ซึ่งอาจไม่ใช่การหาคะแนนอย่างเดียว แต่รวมถึงการแข่งขันเชิงนโยบายที่จะต้องตรวจสอบว่านโยบายทำได้จริง หรือเป็นนโยบายขายฝัน และอยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือไม่”

นอกจากนั้น นายวุฒิสารยังเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเนื่องจากล้าหลัง เพราะมีการกำหนดว่าต้องมีคนเข้าชื่อ 1 แสนคน ซึ่งมากกว่าคนมีสิทธิเลือกตั้งในบางเขตเลือกตั้งเสียอีก จึงควรลดจำนวนสัดส่วนลง รวมถึงกฎหมายการเข้าชื่อถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น ที่กำหนดว่าต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิถอดถอนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งประเทศไทยมีการถอดถอน 14 ครั้ง สำเร็จแค่ 4 ครั้ง ส่วนที่ไม่สำเร็จเพราะมีผู้ถอดถอนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์กรปกครองท้องถิ่น ทั้งนี้หากเป็นผู้บริหารก็ต้องเกินกึ่งหนึ่งของทุกเขต หากเป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรกำหนดการถอดถอนให้ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของเขตนั้นๆ ไม่ใช่กึ่งหนึ่งของทุกเขตเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งนี้เชื่อว่าหากทำให้ง่ายขึ้นประชาชนจะมีอำนาจมากขึ้น ส่วนสื่อมวลชนทำบทบาทหน้าที่ของตัวเองในการทำหน้าที่เป็นหมาเฝ้าบ้าน ที่เห่าในเรื่องที่จำเป็น ไม่ใช่เป็นหมาปากเปราะ เพราะจะกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมือง และควรจะต้องเป็นตะเกียงที่นำทางประชาชนไปในทางที่ถูกต้อง

ด้านนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.กล่าวว่า กกต.รับภาระกับการแข่งขั้นทางการเมือง ทั้งนักการเมืองที่อาจกลายมาเป็นผู้มีอำนาจทางการเมือง ผู้สนับสนุนที่มีอยู่จำนวนมาก และสื่อมวลชนที่มีอำนาจชี้นำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้การเลือกตั้งที่ดีต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วย ไม่ใช่หวังแต่ กกต.7 คนเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่คนแข่งขันหวังจากการแข่งขันคือความเป็นธรรมของกติกา ซึ่ง กกต.เวลามีการเลือกตั้งก็ต้องทำตามกฎหมาย ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมายหรือมีอำนาจเปลี่ยนแปลงกฎหมายได้ แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะขัดกับความรู้สึกประชาชน ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ กกต. หากเป็นความเห็นก็ถือเป็นสิทธิซึ่ง กกต.จะตอบโต้เรื่องที่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยจะยึดกฎหมายเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าระบบการเลือกตั้งไทยแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ตรวจสอบได้ทุกเวลาตั้งแต่พิมพ์บัตรเลือกตั้งแล้ว ทั้งนี้การเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.คนเดียว แต่เป็นหน้าที่ของคนทั้งชาติที่ต้องเลือกคนที่ดี เพื่อให้ผลการเลือกตั้งที่ดี กติกาการเลือกก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย กกต.ต้องทำตามกฎหมาย หากกติกาดีทุกคนยอมรับ ก็แข่งขันกัน ใครแพ้ใครชนะอยู่ที่ผลงาน ศักยภาพ และนโยบายของแต่ละคน แต่ยืนยันว่าจะได้รับความเป็นธรรมจาก กกต.








กำลังโหลดความคิดเห็น