ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จับโป๊ะที่มา “ดร.” สันติ พร้อมมาก! จบอะไรมา และจบแบบไหน? ขนาดเจ้าตัวยังบอกไม่ถูก
โปรไฟล์การศึกษาของ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ที่ขันอาสากับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า “พร้อมมาก” จะขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ยังมีดรามาต่อเนื่อง...
หลัง “สันติ” ให้สัมภาษณ์ต่อเนื่องเคลียร์เรื่องวุฒิการศึกษา ป.ตรี ม.รามคำแหง ที่มีดรามาว่าจบจริงหรือไม่ เพราะมีตำนานเล่าขานกันต่อๆ กันมาถึง กรณี คนชื่อคล้าย “ศานติ พรมพัฒน์” ทุจริตการสอบ จนวันก่อน ม.รามฯ ต้องออกมาชี้แจงอีกรอบ “สันติ” ได้ทีคุยต่อว่าตัวเองเพิ่งเรียนจบปริญญาเอกมา 6 เดือน กำลังอยู่ระหว่างรอรับปริญญา จึงเป็นประเด็นให้โลกโซเชียลฯ ติดตาม “จับโป๊ะ” กันต่อ
โดยคราวนี้ “ต่อตระกูล ยมนาค” นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นคนจับโป๊ะ... โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า 8 พ.ย. 56 : เริ่มต้นที่มาปริญญาเอกของ “ดร.สันติ พร้อมพัฒน์” พร้อมกับลิงก์ข่าว ที่ “สันติ” เคยตกเป็นข่าว 7 ปีมาแล้ว ตามเนื้อหาข่าว... แฉ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ใช้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อัปเกรดเป็น “ปริญญาเอก” นำทีมโดย “สันติ พร้อมพัฒน์” (ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯในขณะนั้น) พร้อม ส.ส.ดังอีก กว่า 30 คน อาทิเช่น “กี้ร์ อริสมันต์ ... ฯลฯ นักศึกษาและศิษย์เก่า ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ในครั้งนั้นได้ออกมาประท้วง จน “นายถวิล พึ่งมา” อธิการบดี ผู้จัดโครงการปริญญาเอกหลักสูตรพิเศษให้นักการเมือง ถูกสภาสถาบันฯ ปลดออก
พร้อมกันนี้ “ต่อตระกูล” ตั้งคำถามด้วยว่า อ้าว!! ที่ “สันติ” บอกสื่อว่า จบดอกเตอร์ แล้ว จากลาดกระบัง เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว กำลังรอรับปริญญา แต่จำชื่อคณะ และชื่อเต็มสถาบันฯ ไม่ได้ ตอบรายละเอียดกับนักข่าวได้แต่ว่า ทำวิจัยขั้นปริญญาเอก เรื่องรถไฟฟ้า สอบผ่านทุกอย่างแล้ว ผ่านหมดแล้วทุกขั้นตอน แสดงว่า ไม่ใช่ปริญญาเอกแบบกิตติมศักดิ์ ได้มาจากฝีมือเรียน และการทำวิจัย และสอบผ่านขั้นสุดท้ายมาจริงๆ
ตอนนี้ อธิการฯ ผู้ก่อตั้งโครงการนี้ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังดำเนินการต่อไปอีก
ช่วยค้นหา Dissertation งานเขียนของ “ดร.สันติ” มาอ่านกันหน่อยได้ไหมครับ ตามหลักจะจบได้ ต้องมีการเผยแพร่แล้ว ทั่วไปเป็นภาษาอังกฤษด้วย อยากอ่านมาก ...“ต่อตระกูล” รัวเป็นชุด
งานนี้ก็ต้องบอกว่า “ท่าน รมช.คลัง” จบอะไรกันมา และจบแบบไหนแน่ ขนาดเจ้าตัวยังเรียกไม่ถูก ?
จากเรื่องนี้ คนในโลกโซเชียลฯ อดสงสัยไม่ได้... โพสต์แสดงความเห็นกันมากว่า หรือจะเป็นหลักสูตรที่นักการเมืองนิยม “จ่ายครบ จบแน่” เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่สามารถจบมาอัปเกรดโปรไฟล์ของตัวเองให้เริ่ดหรูดูแพง มีคำว่า “ดร.” นำหน้าอย่างที่เขาว่ากัน
นี่นอกจากการศึกษาจะจบระดับสูงสุด “ดร.” แล้วหากนับรวมประสบการฝึกอบรม ที่ระบุไว้ในประวัติ “สันติ” คงจะได้อึ้งพอๆ กัน เพราะแต่ละหลักสูตร แทบไม่น่าเชื่อ ไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งหลักสูตรการฝึกอบรมการค้นหาและทำลายกับระเบิด กองทัพบก ปีพ.ศ. 2540
ต่อมาปี 2541 ภายในปีเดียว “สันติ” ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมเหิรเวหากิตติมศักดิ์ กองทัพอากาศ หลักสูตรการฝึกอบรมจู่โจมใต้บาดาลกิตติมศักดิ์ กองทัพเรือ และหลักสูตรการฝึกอบรมของกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน รวดเดียว 3 หลักสูตร !
เรียกว่า นอกจาก “เขี่ย รมว.” ออกไปสองคน โปรไฟล์ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” คนพร้อมมาก ช่างเป็น รมช.คลัง ผู้แข็งแกร่งในปฐพีจริงๆ !!
** สงครามชิงบ้านชิงเมือง ผ่านเกมแก้ รธน. ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ต่างงัด “วิชามาร” มาถล่มกันไม่ยั้ง เพราะเดิมพันสูง !!
สถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุ จากสองแรงบวกทั้งเกมในสภา คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเกมนอกสภาที่ “กลุ่มปลดแอก” ชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทำเอาทั้งสองฝ่ายงัด “กลยุทธ์ก้นหีบ” ออกมาแก้เกมกันอย่างดุเดือด ชนิดพลิกไปพลิกมา
นั่นเป็นเพราะทั้งซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างไม่มีความเป็น “เอกภาพ” กันทั้งคู่ ...
พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น “คิดคนละอย่าง เดินคนละทาง” กันในหลายๆ เรื่อง อย่างการชุมนุมของกลุ่มปลดแอกขณะนี้ เรียกได้ว่า พรรคก้าวไกล “แบ็ก” ให้เต็มที่ ขณะที่พรรคเพื่อไทย ขอยืนดูอยู่ห่างๆ ... ส่วนฟากฝั่งรัฐบาล ก็มี “ประชาธิปัตย์” ที่ทำตัวเป็น “ฝ่ายค้านในรัฐบาล” อยู่เป็นประจำ
ในเกมแก้ รธน.นั้น พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติแก้ไข รธน.ก่อน โดยเสนอแก้ มาตรา 256 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ยกร่าง รธน.ใหม่ภายใน 120 วัน ... ต่อมาพรรคร่วมรัฐบาลก็ ยื่นร่างแก้ไข รธน. เช่นกัน โดยแก้ มาตรา 256 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ยกร่าง รธน.ใหม่ ภายใน 240 วัน และ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศเป็นหลัก
แต่ “พรรคก้าวไกล” ไม่เอาด้วยกับทั้งสองร่าง ...เพราะถ้าร่วมด้วย การเคลื่อนไหวผ่านม็อบปลดแอก ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ 1. หยุดการคุกคามประชาชน 2. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3. ยุบสภา ก็จะหมดความชอบธรรมไปในทันที ... และเพื่อให้สอดรับกับกระแสการชุมนุม พรรคก้าวไกลจึงพยายามนำเสนอญัตติแก้ไข รธน. แบบ “สุดซอย” โดยแก้ไข มาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไข รธน. พ่วงไปกับประเด็น “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ตลอดจน “ล้างมรดก คสช.” ที่มองได้ว่า เป็นการแก้ไขเพื่อ “พลิกขั้ว” ทางการเมือง หากเกิด “อุบัติเหตุ” ที่ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งไม่ได้ ก็จะสามารถเลือกตั้งใหม่ หรือเลือกนายกฯใหม่ โดยที่ไม่มีเสียง ส.ว. 250 เสียงเป็นก้างขวางคอ !!
ตามแนวทางนี้ “พรรคก้าวไกล” พยายามเคลื่อนไหว กดดันให้พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมลงชื่อสนันสนุน เพราะลำพังยื่นเองเสียงสนับสนุนไม่พอ แต่พรรคเพื่อไทย ก็ไม่เล่นด้วย เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน ไม่หลงเหลี่ยมไป “เดินตามเด็ก” ง่ายๆ... พรรคก้าวไกล ก็ไม่ละความพยายาม ไปกราบ ไปกล่อม “กบฏประชาธิปัตย์” ทั้งพวกที่เป็น “กบฏโดยสายเลือด” กับ “กบฏอนุบาล” ให้มาร่วมลงชื่อ บวกกับบรรดาพรรคเล็ก ได้มา 99 เสียง เกินเกณฑ์ขั้นต่ำ 98 เสียงมาได้แบบหืดจับ... แล้วรีบหอบรายชื่อไปยื่นญัตติแก้ไข มาตรา 272 ต่อ ประธาน “ชวน หลีกภัย” เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ...
แต่ยื่นไปได้ไม่ทันข้ามวัน ญัตติแก้มาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ ก็ “แท้ง” เมื่อ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลแห่ถอนชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่ม “กบฏอนุบาล” ของประชาธิปัตย์ หลังถูกกดดันหนักจากแกนนำรัฐบาล และผู้ใหญ่ในพรรค แถมมีการอ้างชื่อ พาดพิงไปถึง “นายหัวชวน” ด้วย ทำเอานายหัวต้องออกมาชี้แจงว่าไม่เกี่ยว
เมื่อรูปการณ์ออกมาเช่นนี้ ทั้งแกนนำรัฐบาล รวมทั้งพรรคก้าวไกลที่อยู่ฝ่ายค้าน ต่างหันมาสาปส่ง “ค่ายแมลงสาบ” ว่า “คบไม่ได้” !!
หลังญัตติพรรคก้าวไกล “แท้ง” คราวนี้ก็เป็นทีของพรรคเพื่อไทย ที่จะได้แสดงจุดยืน หลังถูกโซเชียลฯถล่ม ว่าเล่นเกม “ซูเอี๋ย” กับรัฐบาล ที่ไม่ร่วมลงชื่อหนุนญัตติแก้ มาตรา 272 ของพรรคก้าวไกล... จึงยื่นทีเดียว 4 ญัตติรวด คือ 1. แก้ไขมาตรา 272 และ 159 เพื่อยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ และเพิ่มเติมใน มาตรา 159 ว่าในการเลือกนายกฯ หากไม่สามารถเลือกจากบัญชีของพรรคการเมือง ก็สามารถเลือกนายกฯ จากคนที่เป็น ส.ส.ได้ เท่ากับเป็นการปิดทางการเลือกนายกฯคนนอก
2. แก้มาตรา 270 และ 271 เกี่ยวกับอำนาจของ ส.ว.ในเรื่องการปฏิรูปประเทศ และอำนาจยับยั้งกฎหมาย 3. แก้มาตรา 279 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลที่ทำให้ประกาศ คำสั่ง และการกระทำของ คสช. อยู่เหนือกว่าบทบัญญัติใน รธน. โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และ 4. แก้ระบบเลือกตั้งให้กลับไปใช้แนวทางของ รธน. 40 คือ ใช้บัตร 2 ใบเลือกคน และเลือกพรรค
พร้อมกวักมือเรียก “พรรคก้าวไกล” ให้มาลงชื่อร่วมด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็น “ไฟต์บังคับ” เพราะถ้าไม่มา ก็ไม่รู้จะไปบอกกับประชาชนให้มาชุมนุมได้อย่างไร... ในเมื่อญัตติของพรรคเพื่อไทย ทั้ง “ปิดสวิตช์ ส.ว.- ล้างมรดก คสช.” ตรงกับข้อเรียกร้องของม็อบ ...ในที่สุด ส.ส.ก้าวไกล ก็ยอม “เดินตามผู้ใหญ่” มาร่วมลงชื่อในญัตติของพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน ในเกมแก้ รธน.นี้ ก็มีฝ่ายคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข รธน. โดย “กลุ่มไทยภักดี” นำโดย “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” ก็ออกมาประกาศล่า 5 หมื่นชื่อ เพื่อยื่นคัดค้านการแก้ รธน. โดยให้เหตุผลว่า รธน.ฉบับนี้ ผ่านประชามติมา 16.8 ล้านเสียง... นักการเมืองอ้างว่า ประเทศมีปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนอดอยาก ขนาดเรือดำน้ำปีละ 3,000 ล้านบาท 7 ปี ยังไม่ให้ซื้อ แต่จะแก้ รธน. ที่ต้องใช้เงินถึง 15,000 ล้าน ...อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่พรรคการเมืองบางพรรค จะแก้เลยเถิดไปถึงหมวด 1 หมวด 2 ตามที่กำลังปลุกระดมกันอยู่ในขณะนี้ ... ที่สำคัญคือ แก้ รธน.ครั้งนี้มีแต่นักการเมืองที่ได้ประโยชน์ ...“จะแก้ รธน. ได้ถามประชาชนหรือยัง”
ต้องติดตามว่าเกมการเมืองเรื่องแก้ รธน.จะจบลงอย่างไร ...แต่เท่าที่เห็นกันอยู่ตอนนี้ ก็คือ ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน ต่าง “งัดวิชามาร” มาใส่กันแบบไม่ยั้งทั้งคู่ ... เพราะเกมนี้เดิมพันสูง !!