xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ชิงถอยเรือดำน้ำ รุกแก้ รธน.ปิดสวิตช์ม็อบป่วน !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา


ต้องถือว่ารวดเร็วทันการณ์ทีเดียว สำหรับการ “สั่งถอย” โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ของกองทัพเรือ ในวงเงินงบประมาณ 22,500 ล้านบาท ที่มีการแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ เป็นเวลา 7 ปี โดยปีนี้เป็นงวดที่เลื่อนมาจากปีงบประมาณปี 63 เป็นจำนวน 3,925 ล้านบาท ซึ่งโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนครั้งนี้ มีจำนวนรวม 3 ลำ โดยลำแรกได้รับการอนุมัติจัดซื้อไปแล้ว

“หลังจากที่ กมธ.ได้มีการพูดคุยและแสดงความกังวลต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้มีการพูดคุยเป็นการภายใน ในกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะกองทัพเรือได้ข้อสรุปว่า ขอให้กองทัพเรือพิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำในลำที่ 2 และ 3 ไปก่อน เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความเข้าใจของนายกฯ ที่ได้เห็นถึงความห่วงใยของประชาชน สังคม และ กมธ.ที่จะต้องนำงบประมาณไปใช้ในส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลปากท้องประชาชน และเรื่องอื่นๆ ที่คิดว่าเหมาะสม”
“วันนี้นายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหม ให้ กมธ.ได้พิจารณาเรื่องนี้อีกที เพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือจะเป็นผู้ชี้แจงให้ทาง กมธ.อีกครั้งหนึ่ง ความเหมาะสมจะเป็นอย่างไร การเจรจากับทางจีนเพิ่มเติมในการที่จะชะลอ หรือเลื่อนการจัดซื้อไปอีก 1 ปี จะมีผลออกมาอย่างไร ทางกองทัพเรือจะเป็นผู้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ หลังจากนี้ คงจะเป็นการพูดคุยกับทางจีนอีกครั้งหนึ่ง ถึงความจำเป็นที่เราต้องชะลอการจัดซื้อไปก่อน”
“อยากให้ประชาชนเข้าใจบทบาทของกองทัพที่ต้องการดูแลประชาชน และทรัพยากรของประเทศไทยให้ดีที่สุด และรัฐบาลจะพยายามดูแลทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เพื่อให้ทั้งหมดมีความสอดคล้อง ประชาชนมีความสบายใจเกี่ยวกับการบริหารราชการของรัฐบาลว่าเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม สำหรับการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น เป็นการดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ถูกต้องทั้งหมด โดยมีการดำเนินการมาตั้งแต่การจัดซื้อของลำที่ 1 แล้ว ในส่วนของลำที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องที่จะมีการส่งมอบต่อเนื่องเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจะเห็นว่างบประมาณทั้งหมดที่ตั้งไว้ เป็นการจัดตั้งไว้สำหรับซื้อเรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำ อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของลำที่ 2 และ 3 อยู่ที่ 22,500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 63 เดิมมีงบประมาณที่จะเตรียมจัดสรร 3,375 ล้านบาท แต่ว่าเลื่อนมาเป็นงบประมาณปี 64 ดังนั้น ปีนี้ก็เป็นอีกครั้งที่จะต้องเลื่อนไปเป็นครั้งที่ 2”
นั่นเป็นการแถลงของ “นายอนุชา บุรพชัยศรี” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงข่าวด่วน เมื่อตอนเช้าวันที่ 31 สิงหาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นการแถลงก่อนที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ จะพิจารณากรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือในตอนบ่าย โดยเป็นการประชุมที่เลื่อนมาจากสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางการจับตาว่าจะมีการเดินหน้าต่อหรือเลื่อนการจัดซื้อออกไป
อย่างไรก็ดี หากสังเกตก็จะสามารถรับรู้ได้แล้วว่าจะต้องมีการ “เลื่อน” การจัดซื้อเรือดำน้ำดังกล่าวออกไป โดยเริ่มจากคำพูดที่ส่งสัญญาณออกมาจากปากของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุเป็นคนแรก ในทำนองว่าสามารถเจรจา “ชะลอการจ่ายเงิน”ออกไปก่อน และแม้ว่าในระดับ คณะอนุคณะกรรมาธิการฯ ที่พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจะมีการโหวตที่มีเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้สามารถใช้งบประมาณจัดซื้อในงวดงบประมาณปี 64 ไปได้ แต่เมื่อพิจารณาจากการ “ปลุกกระแส” ทางการเมืองทั้งจากพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล รวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปไตย ที่ออกมา “สร้างกระแสคัดค้าน” อ้างในเรื่องการนำงบประมาณมาช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤตโรคระบาดโควิด-19
ขณะเดียวกัน สิ่งที่พวกนักการเมืองหยิบขึ้นมากล่าวมักจะเน้นในเรื่องจำนวนงบประมาณเต็มๆ นั่นคือ จำนวน 22,500 ล้านบาท ทั้งที่เป็นการแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ นาน 7 งวด โดยปีงบ 64 แบ่งจ่ายจำนวน 3,925 ล้านบาท และว่าไปตามข้อเท็จจริงก็คือ เป็นงบประมาณประจำปีของกองทัพเรือเอง ที่ยกเลิกการจัดซื้อเรือผิวน้ำชนิดอื่น มาดำเนินการจัดซื้อฝูงเรือดำน้ำที่กองทัพเรือกำหนดไว้ตามแผนยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าว ก็ทำให้เข้าใจว่าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่เหลือ จะยังไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ยืดเวลาการจ่ายเงินในงวดปี 64 ออกไปอีก 1 ปี รวมเป็น 2 ปี หลังจากเลื่อนมากแล้วในปี 63 แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างกองทัพเรือและทางการจีน แต่ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่าได้มีการเจรจากับจีนในเบื้องต้นแล้วว่า จะขอยืดเวลาการชำระเงินออกไปก่อน ซึ่งน่าจะได้รับไฟเขียวจากฝ่ายโน้น ในฐานะที่ทั้งสองประเทศถือว่าเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิด
แต่ที่น่าพิจารณามากไปกว่านั้น ก็คือ ในทาง “การเมือง” แล้วการ “ถอยเรือดำน้ำ” ครั้งนี้มันเหมือนกับว่าเป็นการ “ถอดสลักระเบิด” อีกอันหนึ่งลงไปได้อย่างทันเวลา เพราะเรื่องดังกล่าวในทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” ที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถหยิบขึ้นโหมไฟเพื่อถล่มรัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แม้ว่าหากพิจารณาจากจำนวนเงินแล้วเป็นแค่การแบ่งจ่ายเป็นงวด และเป็นงบประมาณของกองทัพเรือ แต่พอพูดเรื่อง “ซื้ออาวุธ” กับการเปรียบเทียบเรื่อง“ปากท้อง”มันก็ย่อม “ปลุกขึ้น”ได้ง่ายอยู่แล้วในสถานการณ์แบบนี้
ส่วนอีกเรื่องที่สามารถลากเข้ามาอยู่ในกรอบของสภาไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ”ที่ก็ได้รับไฟเขียวมาก่อน จนล่าสุดกลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเสนอญัตติด่วนแก้ไขเพียงฉบับเดียว และมีกำหนดยื่น ในวันที่ 1 กันยายนนี้แล้ว สาระสำคัญก็คือให้แก้ไข มาตรา 256 เพื่อเปิดทางไปสู่การมี ส.ส.ร.เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แตะต้องใน หมวด 1 และ 2 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเกือบทุกพรรคเห็นด้วย ยกเว้นพรรคก้าวไกลที่เชื่อมโยงไปถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ยังพยายามปลุกม็อบจากข้างนอกกดดัน ก็ต้องจับตาดู
อีกทั้งยังมีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน ก็ได้พิจารณารายงานผลศึกษาเสร็จสิ้นแล้ว และนำส่ง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯแล้ว คาดว่าจะเข้าวาระได้ในวันที่ 10 กันยายนนี้ ซึ่งมีแนวโน้มจะเลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน
เมื่อพิจารณาจากสองเรื่องหลักที่ถูก “ปลดชนวน” ออกไปแล้ว มันก็ทำให้ “เงื่อนไขหลักและเงื่อนไขรอง” ถูกลดความร้อนแรงลงไปมาก จนแทบจะไม่มีอะไรที่มีน้ำหนักมากพอ และหากพิจารณาจากความนิยม และความเชื่อมั่นสำหรับตัวบุคคลเมื่อพิสูจน์จากผลสำรวจล่าสุดที่ออกมาก็ยังเห็นว่า เสียงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ยังอยู่ในระดับสูง หรือ “ทิ้งขาด” เมื่อเทียบกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้น การที่จะยกระดับการชุมนุมของพวกกลุ่มที่เรียกว่า “ปลดแอก” อะไรนั่นในวันที่ 19 กันยายนนี้ เพื่อสร้างสัญลักษณ์ “ต่อต้านเผด็จการ” สร้างแรงกดดันมันก็คงไม่มีพลังมากพอ เพราะเงื่อนไขหลักๆ ทั้งสองเรื่องดังกล่าวได้ถูกลดลงมาเข้าไปอยู่ในกรอบของสภาหมดแล้ว หากมีก็อาจเป็นแค่รายการป่วน ซึ่งก็ต้องสะสมคดีอาญาตามมาอีก ใครจะท้าทายก็เชิญ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น