หวิดวางมวยกลางสภา “มงคลกิตติ์” ปรี่ถาม “ด่าผมทำไม” ด้าน “สิระ” ตะโกนเรียกตำรวจสภาคุ้มกัน ยันไม่ได้เป็นนักเลง ใช้วาจาสุภาพ ฝากสภาคุ้มกัน ส.ส. ก่อนพากันฟ้อง “ชวน” ด้าน “ชวน” เรียกหย่าศึก สั่งห้ามต่อยกันในสภา
หวิดวางมวย ! เต้ ขอ เคลียร์ สิระ "พี่ ด่าผมเหรอ ?" : [UNCUT]หวิดวางมวย ! เต้ ขอ เคลียร์ สิระ "พี่ ด่าผมเหรอ ?"โพสต์โดย News1 เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2020
วันนี้ (21 ส.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ กำลังให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่บริเวณหน้าทางขึ้นลิฟต์ อาคารรัฐสภา ฝั่งสุริยัน เป็นจังหวะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางเข้ามาหลังจากไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง ผู้สื่อข่าวจึงถามนายสิระว่านายมงคลกิตติ์ไม่ได้ลบโพสต์ในเฟซบุ๊ก แต่นิ้วก้อยไปกดโดน นายสิระตอบว่า ลบไปก็โพสต์ใหม่ได้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่นายมงคลกิตติ์เดินปรี่เข้ามาหานายสิระด้วยสีหน้าจะเอาเรื่อง นายสิระจึงบอกให้สื่อถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นนายมงคลกิตติ์เข้ามาจับแขน นายสิระสะบัดแล้วพูดว่า “เห้ย อย่ามาจับตัวผม ไม่ได้ คุณเป็นนักเลง” นายมงคลกิตติ์จึงพูดสวนไปว่า “พี่สิระด่าผม” นายสิระเดินหนี นายมงคลกิตติ์เดินตามพร้อมชี้หน้า นายสิระกล่าวว่า “ผมด่าตรงไหน นี่มันสภานะครับ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ” แล้วตะโกนเรียกตำรวจสภาว่ามาจับอันธพาล ซึ่งนายมงคลกิตติ์ยืนประกบข้างแล้วบอกว่า “มาจับดิ” นายสิระจึงบอกว่า “นี่แหละครับผู้แทนผู้ทรงเกียรติมาหาเรื่อง ที่นี่สภา” แล้วก็เดินหนีไประหว่างพูด พร้อมย้ำให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพไปให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรและฟ้องประชาชนว่า ส.ส.ทำผิด นายมงคลกิตติ์พูดแทรกว่า “ทำไมตอนพูดถึงไม่คิด” นายสิระตอบว่า “คิดแล้ว” นายมงคลกิตติ์ถามว่า “ใครเป็นคนเริ่ม?” นายสิระตอบว่า “ไม่ต้องมาพูดกับผม” พร้อมหันไปพูดกับสื่อมวลชนว่า ให้จับภาพไว้ใครหาเรื่องใคร ประชาชนเห็นหรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสภาผู้แทนฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ประธานสภาต้องรับผิดชอบ พร้อมยืนยันว่าตนใช้วาจาสุภาพมาตลอด ไม่ได้เป็นนักเลง ทุกวันทำแต่ความดี ทำงานให้ประชาชน ผดุงความยุติธรรม ผลงานก็มีให้เห็นออกไปชัดเจนมากกว่าคณะกรรมาธิการชุดอื่นด้วยซ้ำ และตนตั้งใจจะมาเป็น ส.ส. ไม่ได้ตั้งใจมานักเลงในสภาหรือก่อกวนใคร พร้อมฝากว่าต่อไปนี้การเดินเข้าออกสภาต้องให้ความปลอดภัยกันมากขึ้น ตนเป็น ส.ส. โดนตามรังควานคุกคาม นี่คือการคุกคามการทำหน้าที่ ส.ส.ในรัฐสภา แล้วประชาชนจะคาดหวังกับการทำงานได้อย่างได้ นายชวนต้องรับผิดชอบ จากนั้นนายสิระก็เดินไปขึ้นลิฟต์
ขณะที่นายมงคลกิตติ์ที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง ได้กล่าวกับสื่อมวลชนหลังนายสิระเดินแยกไปขึ้นลิฟตืว่า นายสิระเป็นคนเริ่มก่อน แทนที่จะมีสำนึกขอโทษก็ไม่มี ตนเป็นลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ คนเราทำอะไรผิดต้องมีสำนึก เป็นลูกผู้ชายทำผิดต้องรู้จักขอโทษ วันนี้ตนก็มาในฐานะผู้แทนประชาชนเหมือนกัน ที่เดินไปหาก็ไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากจะถามว่าที่พูดไปได้คิดหรือเปล่า มันกระทบคนอื่น สร้างความเสียหาย ไม่ใช่ถือดีมาจากไหน ไปด่าคนอื่นไปทั่ว ตนเองก็เคยถูกสิระตำหนิมาหลายครั้ง การเป็นผู้ชายแล้วด่าคนอื่นลับหลังไม่เรียกว่าลูกผู้ชาย แล้วเกิดอะไรขึ้นก็มัวแต่ฟ้องครูเหมือนเด็กๆ
ต่อมาเมื่อ 12.00 น. นายสิระได้เดินทางเข้ามาพบบริเวณชั้น 2 อาคารรัฐสภา ห้องทำงานของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออธิบายถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรสอบจริยธรรมนายมงคลกิตติ์ด้วย โดยใช้เวลาคุยประมาณ 15 นาที ก่อนออกจากทำงานของนายชวน ปรากฏว่านายมงคลกิตติ์ยืนรอต่อคิวเพื่อเข้าพบนายชวนเช่นกัน โดยทั้งคู่ได้มองหน้ากัน แต่ไม่ได้มีการทักทาย หรือพูดคุยใดๆ โดยนายมงคลกิตติ์ได้เข้าพบนายชวนประมาณ 10 นาทีก่อนออกจากห้องไป
จากนั้นเวลา 12.30 น. ที่รัฐสภา นายชวน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายสิระกับนายมงคลกิตติ์ว่า ภาพลักษณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องแยกระหว่างคนหมู่ใหญ่กับคน 2 คนออกจากกัน อย่าเหมาว่าทุกคนในสภาจะมีสภาพแบบนี้ ตนตั้งใจว่าจะให้ทั้ง 2 คนได้พบกันและคุยกัน เพราะว่าถ้าไม่คุยกันจะยิ่งขัดแย้งกัน โดยนายสิระยืนยันว่าจะเรื่องส่งกรรมการจริยธรรม พอดีกับสัปดาห์ที่แล้วเรากำลังประชุมกรรมการจริยธรรมเพื่อมอบให้นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติไทยพัฒนา ไปร่างระเบียบ วิธีปฏิบัติก็จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่รวมเอาไว้เพื่อเสนอคณะกรรมการจริยธรรมต่อไป
นายชวนกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องความรุนแรง ขอร้องว่าอย่าให้เกิดขึ้น การขัดแย้งเรื่องวาจาไม่เป็นไร ค่อยว่ากัน แต่เรื่องความรุนแรงอย่าให้เกิดขึ้น ตนพยายามที่จะเชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกัน แต่ทั้งคู่ไม่ยอมมาคุยกัน โดยคนที่ยืนกรานว่าจะไม่ขอคุยคือนายสิระ ซึ่งทางฝ่ายของนายมงคลกิตติ์เองก็ไม่ต้องการเช่นกัน
เมื่อถามว่า หากมีการต่อยหรือตีกันในสภาจริงๆ จะมีบทลงโทษอย่างไรบ้าง นายชวนกล่าวย้ำว่า “บอกแล้วว่ายังไงก็อย่าให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าดีที่สุดคือเอาคำพูดของแต่ละฝ่ายมารวบรวม เรียบเรียงว่าเริ่มต้นอย่างไร ใครเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน และเรื่องตามมาอย่างไร ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาให้ฟันร่วงหมดเลย เขาก็ยืนยันว่าเขาจะไม่ทำ”