“เอกชัย” ออกโรง หย่าศึก “น้องเดียว หนังตะลุง” อัดคลิปฟาดปากพระ ซัดอยากจะฉีกปากแม้ค้าจอมเสี้ยม เตือนเดียวทำผิดต้องไปขอโทษพระขอโทษประชาชน เตรียมลงใต้เจรจาพระ ขอโอกาสแฟนคลับให้เดียวได้สืบสานวัฒนธรรมต่อไป
ทุกครั้งที่ศิลปินภาคใต้มีปัญหา “เอกชัย ศรีวิชัย” ที่ได้ชื่อว่าศิลปินชาวใต้ที่ทรงอิทธิพลเป็นต้องออกโรงทุกครั้ง กับปัญหาล่าสุดที่ “เดียว บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง” หนังตะลุงน้องเดียว ลูกทุ่งวัฒนธรรม ออกมาอัดคลิปด่าพระเพราะไม่พอใจที่มีคนมาเล่าให้ฟังว่า ถูกพระวิพากษ์วิจารณ์ว่า ค่าตัว 8 หมื่นมาเล่นหนังตะลุงแค่คนเดียวแพงเกินไป ทำเอาเจ้าตัวถึงกับฟิวขาด ด่าแหลกพระพร้อมกับท้าให้พระคู่กรณีออกมาตั้งกล่องรับบริจาคแข่งกัน ถ้าแพ้ให้ไปสึก เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตทำให้เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าคณะทุกอำเภอ ให้ช่วยกันบอยคอตหนังตะลุงน้องเดียว ไม่ให้มาแสดงในวัด เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียของสงฆ์ เรื่องนี้ทำเอาเอกชัย ศรีวิชัย ถึงขั้นต้องเข้าไปหย่าศึกระหว่างน้องเดียวกับพระด้วยตนเอง ส่งผลให้น้องเดียวได้ออกมาขอโทษพระเรียบร้อยแล้ว โดยเอกชัยได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวขณะมาบวงสรวงภาพยนตร์ มนต์รัก ดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ
“เวลาไมค์มาจ่อที่เรา ไม่มีเรื่องเราเลย มีแต่เรื่องคนอื่นทั้งนั้นเลย จริงๆก็ เพิ่งโพสต์เฟซบุคไปเมื่อวาน แล้วก็อธิบายความหมายไปในเพจของ บุญรอบ ศรีวิชัย ก็โดยสรุปรวมคือตัวเราเองก็เห็นคลิปตั้งแต่วันแรกแล้ว ก็ไม่สบายใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าช่วงนั้นเขากำลังร้อนมากกำลังของขึ้นพูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอม จนกระทั่งล่าสุดนี้ก็คือ เราได้กระหน่ำพระมารดาไป 3-4 คำ ถึงจะได้เบาลงมาครับ คือเราก็คุยกับเขาส่วนตัวนั่นแหละ คุยตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“คือเรื่องนี้ในความไม่ถูก ต้องบอกว่าไม่ถูกเลย ลูกศิษย์ทุกคนเด็กใต้ทุกคนที่เราสอนมา เราสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ว่าเราไม่สามารถบอกให้เขาทำในสิ่งไหนที่ว่า เออผิดนะเฮ้ย อย่าทำ แต่เมื่อมันทำไปแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ทำ บางทีคนเวลาโมโหก็ขาดสติ ซึ่งทุกอย่างเราก็บอกว่า เดียวน้าเอกเจอมาหมดแล้วลูก โดนทุกรูปแบบแล้ว โดนมาหนักแล้ว ก็พยายามที่จะบอกว่า ต้องใจเย็นๆ คือจริงๆ ถ้าอยากจะตบ อยากตบคนข้างๆ เขา คือจริงๆ เดียวไม่ได้รู้เรื่องหรอก ถ้าคนไม่มาบอก ไอ้คนมาบอกอ่ะ น่าฉีกปาก มันน่าโมโห”
ไม่ยืนยันว่า เหตุการณ์เป็นไปตามที่พระที่ชี้แจงหรือไม่ แต่ไม่ว่าพระจะพูดยังไง ในฐานะศิลปินก็จะต้องรับฟังอย่างเดียว
“คือเราก็ไม่ได้รู้ เพราะว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ครับ แค่มีคนมาบอกว่าพระพูดแบบนี้ แต่จริงๆ พระจะพูดแบบไหน พูดยังไงก็ต้องปล่อย เราเป็นศิลปิน เราต้องฟังอย่างเดียว แล้วก็ต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเดียว เพียงแต่ว่าการรับฟังแล้วสะท้อนกลับลงไป ผมว่าวิธีการคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะเซนซิทีฟแล้วก็อาจจะต้องการสมาธิ เพราะหนังตะลุงมันต้องใช้สมาธิสูงมากเหมือนกันนะ แล้วบางทีมีอะไรมากระทบจิตใจก็อาจจะขึ้นง่าย”
“เดียว” โมโห แต่ยอมขอโทษแล้ว แต่ไม่ขอโทษพระ
“คือเขาก็อธิบายว่า มีคนมาว่าเขาแบบนี้ แล้วเขาก็โมโห คำถามก็เป็นคำถามเดียวกับที่พวกเราถามพี่เอกนี่แหละ เราก็ถามเขาแบบนี้ ทำไมมันต้องโกรธขนาดนั้น ก็ได้รับคำตอบว่าเขาโมโห คำว่าโมโหมันกว้าง สูงต่ำไม่รู้ว่าเพดานไหน แต่ในเบื้องต้นก็พูดกับเขาทุกวิถีทางว่า หนูต้องออกมาขอโทษกับสังคม ออกมาขอโทษคนรอบข้าง ยังมีบอกว่าแต่ผมไม่ขอโทษพระองค์นั้นนะ ก็เออแล้วแต่มึงก็แล้วกัน ซึ่งเขาก็ขอโทษไปแล้ว เราว่าเขาเครียด เขาเครียดมาก คืออธิบายยาก เพราะเวลาคุยกัน เราก็คุยกันแค่ทางโทรศัพท์ เราไม่ได้เจอหน้ากัน ก็พยายามที่จะบอกเขาว่าหนูอย่าทำแบบนี้เลยมันไม่ดี ก็พยายามจะบอกให้ในทิศทางที่ถูกนั้นแหละ”
สำหรับการที่พระทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังที่อื่นๆ ไม่ให้จ้าง “เดียว” นั้น “เอกชัย” บอกว่า ไม่มีปัญหาเพราะจะลงไปพูดคุยกับพระด้วยตนเอง
“ไม่ๆ ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าวันหนึ่งเราไปนอบน้อมต่อท่าน เพราะหนังสือที่ส่งไปเป็นหนังสือขอความร่วมมือของเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเรามองว่าเดี๋ยวเราก็น่าจะลงไปเองด้วย ไม่ใช่ลงไปเป็นกาวใจ แค่เราจะลงไปขอโทษด้วยตัวเอง”
ส่วนเรื่องค่าตัวในการเล่นหนังตะลุงที่สูงถึง 8 หมื่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “เอกชัย” มองว่า เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นในการด่า แต่น่าจะเป็นเรื่องที่มีคนมาใส่ไฟมากกว่า
“ไม่นะ เพราะว่าหนังตะลุง ราคามันก็อยู่ไล่ๆ กันแหละ มันไม่ได้เป็นตัวกำหนดหรอกว่า เงิน 8 หมื่นแล้วด่า ผมมองว่าคนที่สื่อสารมากกว่า ตัวที่เป็นแม่ค้าเนี่ย น่าฉีกปากมาก (เขาใส่ไฟเหรอ?) คือเราไม่รู้ แต่เราว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับราคา มันเป็นเรื่องของคำพูดมากกว่า แต่เราไม่รู้ว่าเขารับงานคืนละเท่าไหร่นะ แต่ปกติเรตมันก็ไม่เหมือนกันหรอก เดียววงเขาใหญ่มาก เป็นวงดนตรีย่อมๆเลย (ไม่ถือว่าแพงเกินไปใช่?) งานเขามีไปถึงปี 66 แล้ว คือมันอยู่ที่พอใจ คนจ้างเขาก็พอใจ แล้วมันก็ไม่ได้ค้ากำไรอะไรมากมาย เอาอย่างนี้ เรามาคิดถึงวันนึ้ว่า เรารับงานขนาดนั้น ขนาดนี้ เราก็ไปถามดาราเซเลปใหญ่ๆดู ว่าแต่ละคนรับงานยังไง รับเงินยังไง คือเปรียบเทียบแล้ว ทุกคนสะสมชื่อเสียงมา มันใช้เวลากันมานานมาก เพราะฉะนั้นแล้วเราก็เลยมองว่า ราคามันอยู่ที่ความพอใจของเจ้าภาพ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบกับวัฒนธรรม
“ทุกอย่างมันกระทบหมดแหละครับ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันกระทบหมด”
ได้ถามน้องเดียวไหม ว่างานยังมีอยู่ไหม หลังจากที่เกิดเรื่อง
“ไม่ถามๆ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขา คือจริงๆ ในส่วนหนึ่งอยากจะบอกว่า อยากให้เขารู้และสัมผัสด้วยตัวของเขาเอง ในเมื่อเราสอนแล้วก็บอกไปทุกๆ เรื่องแล้ว แนะแนวไปแล้วว่าเป็นแบบนี้ๆ ถ้าเขายังดื้อที่จะทำ ก็ให้เขาไป”
วอนให้โอกาส “เดียว” สืบสานวัฒนธรรมต่อไป
“เราไม่ได้ออกโรงเคลียร์ เราก็แค่ออกมาปรามว่าอย่างงี้มันไม่ถูกนะลูก จริงๆ นักร้องใต้ทุกคนแหละ เวลามีปัญหาก็ต้องเป็นเรานี่แหละ คอยมาบอกว่าอย่างนั้นมันไม่ถูก จริงๆ ไม่ได้เก่งแต่ตัวเองประสบการณ์มี เคยโดนมาหนักแล้วหลายๆอย่าง ก็ไม่อยากจะให้ลูกๆ โดน แล้วก็ทำผิด คือศิลปินมันก็จะมีอยู่แค่นี้เดี๋ยวก็เรื่องญาติ เรื่องพ่อ เรื่องแม่ เรื่องลูก คือเราสงบสติอารมณ์ไม่อยู่มันก็จะเจอแบบนี้ คือตัวเราเองก็ไม่ได้บรรลุ แต่ปัจจุบันเราอารมณ์เย็นลงไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่อยากให้เด็กๆ มาเจอปัญหาแบบนี้”
“จริงๆ ทุกปัญหามันหลีกเลี่ยงได้หมดเลย ถ้าบุคคลคนนั้นไม่มาพูด เดียวก็ไม่ได้ยินเพราะตามันมองไม่เห็นอยู่แล้ว แล้วถ้าได้ยินแล้วตัวเองรู้จักยับยั้งชั่งใจก็จะไม่เกิดปัญหา แต่เวลานี้ผมเชื่อว่าจากที่เด็กอยู่กับผมมาตั้งแต่ 8-9 ขวบ เราก็ไม่ค่อยได้เห็นความก้าวร้าวในตัวของเขา จิตใต้สำนึกสามัญสำนึกเขาเป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง ก็อยากจะให้แฟนคลับทุกคนมองถึงความสุข ที่เราเสพสุขจากเขา ได้หัวเราะจากเสียงของเขา ได้ดูลีลาการเล่นหนังตะลุงของเขา วันนี้เขาผิดไปแล้ว ก็ให้โอกาสเขาอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อจะให้เขาได้เป็นผู้สืบสานงานวัฒนธรรมต่อเนื่องต่อไป แต่ผมเชื่อว่าเหตุการณ์คงจะไม่เกิดขึ้นแล้ว เขาก็น่าจะเข็ดทั้งชีวิตนี้แล้วแหละ”